ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความใช้เงินให้แก่โจทก์ แต่แล้วไม่ชำระโจทก์จึงนำยึดเรือนของจำเลย 1 หลัง ซึ่งเป็นสินบริคณห์ระหว่างจำเลยกับภริยา ผู้ร้องเห็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของภริยาจำเลยได้ใช้สิทธิของลูกหนี้ขอให้ศาลสั่งแยกสินบริคณห์ระหว่างจำเลยและภริยาเพื่อจะขอรับชำระหนี้ ศาลอนุญาตให้แยกได้ ต่อมาโจทก์จึงยื่นคำร้องว่าหนี้ระหว่างโจทก์จำเลยคดีนี้เป็นหนี้ร่วมโจทก์มีสิทธิบังคับเอาแก่สินบริคณห์ทั้งสองฝ่าย จึงขอให้ยึดสินบริคณห์ส่วนของภริยาจำเลยมาชำระหนี้ของโจทก์ด้วย
ศาลแพ่งสั่งว่า สินบริคณห์เมื่อแยกจากกันแล้วก็เป็นสินส่วนตัวของฝ่ายนั้น โจทก์จะขอยึดส่วนของภริยาด้วยมิได้
โจทก์อุทธรณ์ ศาลแพ่งสั่งว่ารับเป็นอุทธรณ์ ส่งสำเนาให้กับจำเลย ผู้ร้องจึงมิได้รับสำเนาและมิได้แก้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้โจทก์ยึดทรัพย์สินส่วนของภริยาจำเลยได้
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ร้องเป็นจำเลยอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 235 และเป็นคู่ความซึ่งพิพาทกันในชั้นบังคับคดีกับโจทก์ตลอดมา เมื่อศาลชั้นต้นไม่ได้สั่งให้โจทก์ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่ผู้ร้องซึ่งเป็นจำเลยอุทธรณ์เป็นการที่มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทบัญญัติในมาตรา 235 จึงต้องดำเนินการให้ถูกต้องเสียก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดปัญหาข้ออื่น จึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่ผู้ร้องเสียก่อนแล้วส่งสำนวนมาให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









