สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8736/2563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8736/2563

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 224 วรรคหนึ่ง, 330, 331, 738, 739, 741

จำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ซื้อทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 มาจากการขายทอดตลาดโดยติดจำนองไม่ได้เป็นคู่สัญญาที่จะต้องรับผิดตามสัญญาจำนอง จำเลยที่ 2 จึงมีฐานะเป็นเพียงผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนอง มีหน้าที่ปลดเปลื้องภาระจำนองด้วยการไถ่ถอนจำนองตาม ป.พ.พ. มาตรา 738 ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ได้เสนอคำขอไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์จำนองไปยังโจทก์ โจทก์ได้รับคำเสนอดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 หากโจทก์ไม่ยอมรับคำเสนอก็ต้องฟ้องคดีต่อศาลภายใน 1 เดือนนับแต่วันมีคำเสนอเพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินที่จำนองนั้นตามมาตรา 739 แต่โจทก์เพียงแต่มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาหนังสือขอไถ่ถอนจำนองไปยังจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์ขอปฏิเสธข้อเสนอชำระค่าไถ่ถอนจำนองของจำเลยที่ 2 หากจะไถ่ถอนจำนองจะต้องชำระตามภาระหนี้จำนอง โดยไม่ได้ฟ้องคดีต่อศาลภายใน 1 เดือนนับแต่วันมีคำเสนอ โจทก์จึงต้องถูกผูกพันตามคำเสนอขอไถ่ถอนจำนองของจำเลยที่ 2 โดยถือว่าเป็นการสนองรับโดยปริยายตามมาตรา 739 และมาตรา 741 จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิไถ่ถอนจำนองในวงเงินตามที่เสนอ แต่ภาระจำนองจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 2 ใช้เงินแก่โจทก์ตามที่จำเลยที่ 2 เสนอขอไถ่ถอนดังกล่าว แม้โจทก์จะไม่ยอมรับราคาตามที่จำเลยที่ 2 เสนอ แต่เมื่อถือว่าโจทก์สนองรับราคาตามที่จำเลยที่ 2 เสนอแล้ว จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำเสนอดังกล่าวด้วย โดยต้องไถ่ถอนจำนองตามราคาที่เสนอซึ่งถือเป็นหนี้เงินที่จะต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่นำเงินตามราคาที่เสนอไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาตามคำเสนอตามมาตรา 330 และ 331 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในส่วนดอกเบี้ยนับแต่วันครบกำหนดตามคำเสนอราคาไถ่ถอนจำเลยที่ 2 มีหนังสือถึงโจทก์ขอไถ่ถอนทรัพย์จำนองภายใน 30 วัน โจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าววันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 โจทก์จึงต้องฟ้องคดีภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2557 กรณีจึงต้องถือว่าการสนองรับคำเสนอราคาไถ่ถอนของจำเลยที่ 2 มีผลวันที่ 25 ธันวาคม 2557 กำหนดเวลา 30 วัน ที่จำเลยที่ 2 ต้องวางเงินจึงตรงกับวันที่ 24 มกราคม 2558 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ 25 มกราคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 1,152,308.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 13.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,098,887.60 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยทั้งสองชำระเบี้ยประกันภัยที่โจทก์ออกแทนไปก่อนจำนวน 1,293.66 บาท ทุกวันที่ 1 พฤษภาคม ของทุก 3 ปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2559 และให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเบี้ยประกันภัยพิบัติ 108.07 บาท ทุกวันที่ 5 พฤษภาคม ของทุกปี เริ่มตั้งแต่วันที่ 5 พฤษภาคม 2559 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระหนี้เสร็จสิ้น หากจำเลยทั้งสองไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ

จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้อง และโจทก์ใช้สิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 และหักเงินเดือนของจำเลยที่ 1 เดือนละ 9,500 บาท ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2557 ถึงเดือนธันวาคม 2558 รวมเป็นเงิน 142,500 บาท นำมาชำระหนี้เงินกู้ตามฟ้องโดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิ จึงขอคิดค่าเสียหายเป็นเงิน 100,000 บาท และคืนเงินที่หักไปแล้ว 142,500 บาท รวมเป็นเงินที่โจทก์ต้องชำระแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 242,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยที่ 2 ให้การและฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องและขอให้บังคับโจทก์จดทะเบียนปลดภาระจำนองและส่งมอบโฉนดที่ดินทรัพย์จำนองให้แก่จำเลยที่ 2 หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยทั้งสอง

ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับที่ 1 จำนวน 940,691.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5.975 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว ชำระตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับที่ 2 จำนวน 89,901.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 6.975 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว และชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับที่ 3 จำนวน 68,294.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 6.975 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไป และให้นำเงินที่จำเลยที่ 1 ชำระระหว่างวันที่ 23 ธันวาคม 2557 จนถึงวันฟ้อง และที่จำเลยที่ 1 ชำระภายหลังวันฟ้อง (หากมี) มาหักให้จำเลยที่ 1 ตามวันเวลาที่จำเลยที่ 1 ชำระโดยให้นำมาหักชำระดอกเบี้ยก่อนหากมีเหลือให้นำไปชำระต้นเงิน และให้จำเลยที่ 2 ใช้เงินแก่โจทก์ 600,000 บาท เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 53261 พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขที่ 12/75 หากได้เงินไม่พอชำระให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 1 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์จนครบถ้วน กับให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท ค่าฤชาธรรมเนียมส่วนของจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเบี้ยประกันภัยจำนวน 1,401.73 บาท แก่โจทก์ ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงินเพื่อไถ่ถอนจำนองให้แก่โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับที่ 1 จำนวน 940,691.69 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5.975 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว ชำระตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับที่ 2 จำนวน 89,901.84 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 6.975 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว และชำระเงินตามสัญญากู้ยืมเงินฉบับที่ 3 จำนวน 68,294.07 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 6.975 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2557 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมฟ้องแย้งในศาลชั้นต้นและค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยที่ 2 ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า โจทก์ต้องยอมให้จำเลยที่ 2 ไถ่จำนองตามราคาที่จำเลยที่ 2 เสนอหรือไม่ เห็นว่า เมื่อความปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 1 มาจากการขายทอดตลาดโดยติดจำนอง มิได้เป็นคู่สัญญาที่จะต้องรับผิดตามสัญญาจำนอง จำเลยที่ 2 จึงมีฐานะเป็นเพียงผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจำนอง มีหน้าที่ปลดเปลื้องภาระจำนองด้วยการไถ่ถอนจำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 738 ที่บัญญัติว่า ผู้รับโอนซึ่งประสงค์จะไถ่ถอนจำนองต้องบอกกล่าวความประสงค์นั้นแก่ผู้เป็นลูกหนี้ชั้นต้น และต้องส่งคำเสนอไปยังบรรดาเจ้าหนี้ที่ได้จดทะเบียนไม่ว่าในทางจำนองหรือประการอื่น ว่าจะรับใช้เงินให้เป็นจำนวนอันสมควรกับราคาทรัพย์สินโดยคำเสนอจะต้องแจ้งตำแหน่งแหล่งที่และลักษณะแห่งทรัพย์สินซึ่งจำนอง ตลอดจนรายละเอียดอย่างอื่นตามที่กำหนด ซึ่งจำเลยที่ 2 ก็ได้เสนอคำขอไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างทรัพย์จำนองไปยังโจทก์แล้ว โดยที่คำเสนอดังกล่าวระบุถึงสิ่งที่ส่งมาด้วย คือสำเนาหนังสือของสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 3 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557 พร้อมเอกสารที่แนบรวม 7 ฉบับ เนื้อความระบุถึงเลขที่โฉนดที่ดินและเลขที่สิ่งปลูกสร้าง ชื่อและภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ผู้รับโอน โดยซื้อจากการขายทอดตลาดเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2557 เจ้าของกรรมสิทธิ์เดิมคือจำเลยที่ 1 มียอดหนี้ที่ค้างชำระแก่โจทก์ ณ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2557 เป็นเงิน 1,150,509.61 บาท โดยจำเลยที่ 2 ขอเสนอไถ่ถอนจำนองเป็นเงิน 600,000 บาท ซึ่งตามเอกสารที่จำเลยที่ 2 อ้างส่งก็มีสำเนาหนังสือของสำนักงานบังคับคดีแพ่งกรุงเทพมหานคร 3 เรื่อง ขอให้จดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ให้แก่ผู้ซื้อโดยติดภาระจำนองด้วย สำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาสัญญาจำนอง และเอกสารอย่างอื่นแนบท้ายรวมอยู่ด้วย และปรากฏตามใบตอบรับในประเทศท้ายเอกสารว่า โจทก์ได้รับคำเสนอดังกล่าวเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 และปรากฏตามเอกสารว่า จำเลยที่ 2 มีหนังสือแจ้งการขอไถ่ถอนจำนองไปยังจำเลยที่ 1 ลูกหนี้ชั้นต้นโดยแนบสำเนาหนังสือขอไถ่ถอนจำนองไปกับหนังสือดังกล่าวด้วย ซึ่งปรากฏตามใบตอบรับในประเทศท้ายเอกสารว่า จำเลยที่ 1 ได้รับหนังสือฉบับดังกล่าวเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557 เช่นนี้ หากโจทก์ไม่ยอมรับคำเสนอ โจทก์ต้องฟ้องคดีต่อศาลภายใน 1 เดือน นับแต่วันมีคำเสนอ เพื่อให้ศาลพิพากษาสั่งให้ขายทอดตลาดทรัพย์สินซึ่งจำนองนั้น ตามมาตรา 739 แต่โจทก์เพียงแต่มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาหนังสือขอไถ่ถอนจำนองไปยังจำเลยที่ 2 ว่า โจทก์ขอปฏิเสธข้อเสนอชำระค่าไถ่ถอนจำนองของจำเลยที่ 2 หากจะไถ่ถอนจำนองจะต้องชำระตามภาระหนี้ โดยไม่ได้ฟ้องคดีต่อศาลภายใน 1 เดือน นับแต่วันมีคำเสนอ โจทก์จึงต้องถูกผูกพันตามคำเสนอขอไถ่ถอนจำนองของจำเลยที่ 2 โดยถือว่าเป็นการสนองรับโดยปริยายตามมาตรา 739 และมาตรา 741 หาใช่ว่าเมื่อไม่ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 เดือน มีผลเพียงให้เสียสิทธิในการฟ้องโดยไม่ต้องบอกกล่าวบังคับจำนองตามที่โจทก์แก้ฎีกาไม่ เช่นนี้ จำเลยที่ 2 จึงมีสิทธิไถ่ถอนจำนองในวงเงิน 600,000 บาท อย่างไรก็ตามกรณีดังกล่าวภาระจำนองจะระงับสิ้นไปก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 2 ใช้เงินแก่โจทก์ตามที่จำเลยที่ 2 เสนอขอไถ่ถอนดังนั้นแม้โจทก์จะไม่ยอมรับราคาตามที่จำเลยที่ 2 เสนอ แต่เมื่อถือว่าโจทก์สนองรับราคาตามที่จำเลยที่ 2 เสนอดังกล่าวข้างต้นแล้ว จำเลยที่ 2 จึงมีหน้าที่ปฏิบัติตามคำเสนอดังกล่าวด้วยโดยต้องไถ่ถอนจำนองตามราคาที่เสนอซึ่งถือเป็นหนี้เงินที่จะต้องเสียดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่นำเงินตามราคาที่เสนอไปวางที่สำนักงานวางทรัพย์ภายในกำหนดเวลาตามคำเสนอ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 330 และ 331 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดในส่วนดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดตามคำเสนอราคาไถ่ถอน

คดีนี้จำเลยที่ 2 มีหนังสือถึงโจทก์ขอไถ่ถอนทรัพย์จำนองภายใน 30 วัน โจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าววันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 โจทก์จึงต้องฟ้องคดีภายในวันที่ 25 ธันวาคม 2557 กรณีจึงต้องถือว่าการสนองรับคำเสนอราคาไถ่ถอนของจำเลยที่ 2 มีผลวันที่ 25 ธันวาคม 2557 กำหนดเวลา 30 วันที่จำเลยที่ 2 ต้องวางเงิน จึงตรงกับวันที่ 24 มกราคม 2558 จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดชำระดอกเบี้ยผิดนัดอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 600,000 บาท นับแต่วันที่ 25 มกราคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังขึ้นบางส่วน

อนึ่ง คดีนี้โจทก์มีคำขอท้ายฟ้องว่าหากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระหนี้หรือชำระไม่ครบถ้วนให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดชำระหนี้โจทก์ แต่ศาลล่างทั้งสองมิได้พิพากษาในส่วนนี้อันเป็นการมิชอบ ศาลฎีกาจึงเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 600,000 บาท เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 53261 พร้อมสิ่งปลูกสร้าง พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 25 มกราคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระเพื่อไถ่ถอนจำนองให้ยึดทรัพย์จำนองตามฟ้องออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์ไม่เกินความรับผิดของจำเลยที่ 2 ทั้งนี้จำนวนเงินที่โจทก์จะได้รับชำระจากจำเลยทั้งสองรวมกันแล้วต้องไม่เกินกว่าความรับผิดที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ผบ.(พ)261/2562

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคาร อ. จำเลย - นาย บ. กับพวก

ชื่อองค์คณะ สันติ วงศ์รัตนานนท์ ประมวญ รักศิลธรรม สมเกียรติ ตั้งสกุล

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลแพ่งมีนบุรี - นางชญากุญช์ เทพทองภูนพ ศาลอุทธรณ์ - นางอมรรัตน์ ดีศรีวงศ์

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th