สารบัญ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8873/2563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8873/2563

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 222, 572

คดีก่อนเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 1,852,000 บาท พร้อมให้รับผิดชำระค่าเสียหาย จำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อส่งคืนให้แก่โจทก์ในสภาพไม่เรียบร้อยอันเกิดจากความบกพร่องในการดูแลรักษาทรัพย์สินซึ่งเป็นความผิดของจำเลย โจทก์นำออกขายทอดตลาดได้เงินเพียง 1,173,707.89 บาท ไม่ครบถ้วนตามราคาใช้แทนรถยนต์ที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในคำพิพากษา ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากราคารถยนต์ส่วนที่ขาดไปและโจทก์ชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ราคารถยนต์ส่วนที่ยังขาดจำนวนได้ เนื่องจากเป็นความเสียหายที่สืบเนื่องมาจากมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนและเกิดขึ้นหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว มิใช่กรณีที่จะไปบังคับคดีในคดีก่อนได้เพราะการบังคับคดีในคดีก่อนจำต้องอาศัยคำพิพากษาที่วินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในมูลหนี้ใดบ้างเป็นสำคัญ ทั้งยังมิใช่เป็นเรื่องที่คำพิพากษาในคดีก่อนได้กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติตามคำพิพากษาไว้และโจทก์ได้ดำเนินการบังคับชำระหนี้ก่อนหลังกันไปตามลำดับจนไม่อาจเรียกค่าขาดราคาได้

เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 678,292.11 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 398,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 21 มิถุนายน 2561) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 6,500 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า จำเลยเช่าซื้อรถยนต์บรรทุก 10 ล้อ จากโจทก์ ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาและยื่นฟ้องจำเลย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2559 ให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 1,852,000 บาท และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ 160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี และชำระค่าเสียหายอีกเดือนละ 20,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนแต่ไม่เกิน 10 เดือน หลังจากนั้นวันที่ 15 ตุลาคม 2559 จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ โจทก์แจ้งให้จำเลยใช้สิทธิซื้อรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนตามสำเนาหนังสือแจ้งให้ใช้สิทธิซื้อทรัพย์ที่เช่าซื้อกลับคืน วันที่ 26 ธันวาคม 2559 โจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกประมูลขายทอดตลาด ได้รับเงิน 1,173,707.89 บาท

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยต้องรับผิดชำระค่าขาดราคาตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแก่โจทก์หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่าตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 13 กรณีที่โจทก์ได้รับรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนมา และนำออกขายโดยวิธีประมูลหรือขายทอดตลาดที่เหมาะสม หากได้ราคาน้อยกว่าจำนวนหนี้คงค้างชำระตามสัญญานี้ จำเลยตกลงรับผิดชดใช้ส่วนที่ขาดแก่โจทก์จนกว่าจะครบ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้วจำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อมาส่งคืน โจทก์นำออกขายทอดตลาดได้เงินเพียง 1,173,707.89 บาท ยังขาดราคาจากราคาใช้แทนรถยนต์ที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าขาดราคาให้แก่โจทก์ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติดังวินิจฉัยข้างต้นว่าในคดีก่อนเมื่อศาลพิพากษาให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 1,852,000 บาท พร้อมให้รับผิดชำระค่าเสียหาย จำเลยนำรถยนต์ที่เช่าซื้อส่งคืนให้แก่โจทก์มีสภาพปรากฏ เมื่อโจทก์นำออกขายทอดตลาดได้เงินเพียง 1,173,707.89 บาท ไม่ครบถ้วนตามราคาใช้แทนรถยนต์ 1,852,000 บาท ที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในคำพิพากษา ดังนี้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายจากราคารถยนต์ส่วนที่ขาดไปและโจทก์ชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชดใช้ราคารถยนต์ส่วนที่ยังขาดจำนวนได้ เนื่องจากเป็นความเสียหายที่สืบเนื่องมาจากมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนและเกิดขึ้นภายหลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว มิใช่กรณีที่จะไปบังคับคดีในคดีก่อนได้เพราะการบังคับคดีในคดีก่อนจำต้องอาศัยคำพิพากษาที่วินิจฉัยให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในมูลหนี้ใดบ้างเป็นสำคัญ ทั้งยังมิใช่เป็นเรื่องที่คำพิพากษาในคดีก่อนได้กำหนดขั้นตอนการปฏิบัติตามคำพิพากษาไว้และโจทก์ได้ดำเนินการบังคับชำระหนี้ก่อนหลังกันไปตามลำดับจนไม่อาจเรียกค่าขาดราคาได้ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัย ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้รับรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนมาในสภาพมีรอยบุบครูดสีถลอกรอบคัน กระจกหน้าแตก ไม่มียางอะไหล่ และไม่มีเครื่องมือเป็นเหตุให้เมื่อนำออกขายทอดตลาดได้เงินเพียง 1,173,707.89 บาท และสภาพของรถยนต์ที่เช่าซื้อดังกล่าวล้วนเป็นเหตุที่เกิดจากความบกพร่องในการดูแลรักษาทรัพย์สินอันเป็นความผิดของจำเลย ทำให้รถยนต์เสื่อมราคาและขายทอดตลาดได้เงินต่ำกว่า 1,852,000 บาท อันเป็นราคารถยนต์ที่เช่าซื้อที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในคำพิพากษา และเมื่อศาลชั้นต้นกำหนดค่าขาดราคารถยนต์ให้แก่โจทก์ 398,000 บาท โจทก์ไม่อุทธรณ์ จำเลยจึงต้องรับผิดชำระค่าขาดราคาตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแก่โจทก์ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับค่าขาดราคา และพิพากษากลับให้ยกฟ้องนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา ผบ.(พ)189/2563

แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ชื่อคู่ความ โจทก์ - ธนาคาร ล. จำเลย - นาย ส.

ชื่อองค์คณะ สันติชัย วัฒนวิกย์กรรม์ แรงรณ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ นพรัตน์ สี่ทิศประเสริฐ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดนครปฐม - นายณัฐพล วชิระประสิทธิ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 - นายสมศักดิ์ อุไรวิชัยกุล

ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th