คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8898/2561
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 39 วรรคหนึ่ง, 144 วรรคหนึ่ง, 145 วรรคหนึ่ง
เดิมจำเลยฟ้องโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ ต่อมาโจทก์ฟ้องจำเลยขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทซึ่งเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์เป็นคดีนี้ คดีนี้กับคดีดังกล่าวจึงมีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่ แล้วในคดีนี้จึงวินิจฉัยต่อไปได้ว่าจำเลยบุกรุกและทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ เมื่อคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามมิให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาในประเด็นดังกล่าวซ้ำอีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 วรรคหนึ่ง ฟ้องโจทก์ในคดีนี้และการที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้แล้วมีคำพิพากษา จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามบทบัญญัติดังกล่าว และเมื่อตามประเด็นข้อพิพาทเป็นกรณีที่เห็นได้ว่าการชี้ขาดตัดสินคดีนี้จำต้องอาศัยคำชี้ขาดตัดสินคดีดังกล่าวซึ่งจะต้องกระทำเสียก่อน ดังนั้น ถ้าศาลชั้นต้นได้เลื่อนการพิจารณาคดีนี้ไปจนกว่าคดีดังกล่าวจะถึงที่สุด ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 39 วรรคหนึ่ง ก็ย่อมทำให้ความยุติธรรมดำเนินไปด้วยดี อย่างไรก็ตาม แม้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้มา แต่เมื่อปรากฏว่าคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วโดยศาลฎีกามีคำพิพากษาว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน คำพิพากษาในคดีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง จำเลยจะยกเรื่องที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ขึ้นต่อสู้โจทก์อีกไม่ได้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาท
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างกับขนย้ายทรัพย์สินและบริวารทั้งหมดออกไปจากที่ดินเลขที่ 308 พร้อมส่งมอบการครอบครองในสภาพที่เรียบร้อย และไม่เข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้จึงให้งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนเรือน สิ่งปลูกสร้างกับขนย้ายทรัพย์สินและบริวารทั้งหมดออกไปจากที่ดินเลขที่ 308 ตามหลักฐานหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เลขที่ สพ. 0471 พร้อมทั้งส่งมอบการครอบครองในสภาพที่เรียบร้อยและไม่เข้าไปกระทำการใด ๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองของโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า คดีแพ่งหมายเลขดำที่ 500/2557 จำเลยฟ้องโจทก์เป็นจำเลยที่ 1 ต่อศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 23 พฤษภาคม 2559 โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ และคู่ความแถลงร่วมกันว่า คดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทเดียวกันกับคดีดังกล่าวว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่ ตามรายงานกระบวนพิจารณาวันที่ 11 กรกฎาคม 2559 และศาลชั้นต้นพิจารณาคดีดังกล่าวแล้วเห็นว่า ที่พิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน จึงพิพากษายกฟ้อง ตามสำเนาคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 894/2559 ของศาลชั้นต้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ในคดีนี้เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้กับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 894/2559 ของศาลชั้นต้น ต่างมีประเด็นข้อพิพาทที่ศาลจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินสาธารณประโยชน์หรือไม่ แล้วในคดีนี้จึงวินิจฉัยต่อไปว่าจำเลยบุกรุกและทำละเมิดต่อโจทก์หรือไม่ ซึ่งเมื่อคดีดังกล่าวศาลชั้นต้นวินิจฉัยชี้ขาดว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกันอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จึงต้องห้ามมิให้ศาลดำเนินกระบวนการพิจารณาในประเด็นดังกล่าวซ้ำอีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่ง ฟ้องโจทก์ในคดีนี้และการที่ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้แล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ ให้งดสืบพยานและพิพากษาคดี จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ต้องห้ามตามบทมาตราดังกล่าว ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 วินิจฉัยว่า คดีดังกล่าวกับคดีนี้มีประเด็นข้อพิพาทคนละประเด็นกันและไม่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย และเมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยมีประเด็นข้อพิพาทเป็นประเด็นเดียวกันกับประเด็นในคดีดังกล่าวที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้ว จึงเป็นกรณีที่เห็นได้ว่าการจะชี้ขาดตัดสินคดีนี้จำต้องอาศัยคำชี้ขาดตัดสินคดีดังกล่าวซึ่งจะต้องกระทำเสียก่อน ดังนั้น ถ้าศาลชั้นต้นได้เลื่อนการพิจารณาคดีนี้ไปจนกว่าคดีดังกล่าวจะถึงที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 39 วรรคหนึ่ง ก็ย่อมทำให้ความยุติธรรมดำเนินไปด้วยดี อย่างไรก็ตาม แม้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาคดีนี้มา แต่เมื่อความปรากฏต่อศาลฎีกาว่า คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7384/2561 ว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่สาธารณประโยชน์ที่ประชาชนใช้ร่วมกัน อันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน คำพิพากษาในคดีดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง จำเลยจะยกเรื่องที่ดินพิพาทไม่ใช่ที่ดินสาธารณประโยชน์ขึ้นต่อสู้โจทก์อีกไม่ได้ และข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาท ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับว่า ให้บังคับไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา พ.276/2561
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - องค์การบริหารส่วนตำบล บ. จำเลย - นาง ห.
ชื่อองค์คณะ เฉลิมชัย ศรีเลิศชัยพานิช วิชิต ลีธรรมชโย ชูชัย วิริยะสุนทรวงศ์
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน ศาลจังหวัดสุพรรณบุรี - นางกรกช ว่องไว ศาลอุทธรณ์ภาค 7 - นายฐานิต ศิริจันทร์สว่าง