ค้นหาฎีกา

ระบุ เลขฎีกา หรือ คำค้นหา

สารบัญ

ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
แชทกับทนายส่วนตัว
การันตีได้รับคำตอบทันทีจากทนายตัวจริง

คำปรึกษามากกว่า

10,000+

ทนายความตัวจริง

500+

เริ่มต้นปรึกษา
รีวิว 9,000+ คน
Legardy App
เนื้อหาฉบับเต็ม

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้เอาไปเสียซึ่งบัตรถอนเงินสด (บัตรเอ.ที.เอ็ม.) อันเป็นเอกสารสิทธิซึ่งธนาคารกรุงเทพ จำกัด สาขาธนบุรี และธนาคารทหารไทย จำกัดสาขาโชคชัย 4 ออกให้แก่นายสุนทร บุนนาค ผู้เสียหายรวม 2 ใบ มูลค่ารวม 200 บาท ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด ธนาคารทหารไทยจำกัด และผู้เสียหายหรือประชาชน ต่อมาจำเลยนำบัตรเอ.ที.เอ็ม. ที่เอาไปดังกล่าวไปลักเอาเงินของผู้เสียหายโดยผ่านเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติรวม 11 ครั้งเป็นเงินรวม 97,300 บาท ไปเป็นของตนโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 188, 334, 91 และให้จำเลยคืนหรือใช้เงินจำนวน 97,300 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 334 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91ฐานเอาเอกสารของผู้อื่นไปให้จำคุก 2 ปี ฐานลักทรัพย์ 2 กระทง จำคุกกระทงละ 3 ปีรวมเป็นจำคุก 8 ปี ให้จำเลยคืนบัตรเอ.ที.เอ็ม. 2 ใบ หรือใช้เงิน 200 บาท และคืนเงิน 97,300 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน แต่ในการบังคับคดีไม่จำต้องดำเนินการบังคับให้จำเลยต้องคืนบัตรเอ.ที.เอ็ม. 2 ใบ เสียก่อน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ระหว่างที่นายสุนทร บุนนาคผู้เสียหายเข้าพักรักษาตัวที่ห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาลพญาไท 2 จำเลยได้เอาบัตรเอ.ที.เอ็ม. 2 ใบ ของผู้เสียหายพร้อมด้วยรหัสของบัตรซึ่งอยู่ในกระเป๋าสตางค์และเก็บไว้ในห้องพักผู้ป่วยไป แล้วจำเลยใช้บัตรเอ.ที.เอ็ม. ทั้ง 2 ใบดังกล่าวถอนเงินจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติจำนวน 11 ครั้ง เป็นเงินรวม 97,300 บาทและธนาคารได้ตัดยอดเงินดังกล่าวจากบัญชีเงินฝากของผู้เสียหายแล้ว จำเลยฎีกาประการแรกว่า บัตรเอ.ที.เอ็ม. 2 ใบดังกล่าว โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่ามีข้อความใดปรากฏอยู่บ้าง ย่อมรับฟังไม่ได้ว่าบัตรเอ.ที.เอ็ม. เป็นเอกสาร จึงลงโทษจำเลยฐานเอาเอกสารของผู้อื่นไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188 ไม่ได้ เห็นว่าจำเลยมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นโต้เถียงในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสองไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปมีว่า การลักบัตรเอ.ที.เอ็ม.แล้วจำเลยใช้บัตรเอ.ที.เอ็ม. ของผู้เสียหายทั้ง 2 ใบ ไปลักเอาเงินสดของผู้เสียหายเป็นการกระทำกรรมเดียวหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยลักเอาบัตรเอ.ที.เอ็ม. ไปจากผู้เสียหาย แล้วนำบัตรเอ.ที.เอ็ม. ของผู้เสียหายดังกล่าวไปลักเอาเงินของผู้เสียหายโดยผ่านเครื่องฝากถอนเงินนั้น ทรัพย์ที่จำเลยลักเป็นทรัพย์คนละประเภทและเป็นความผิดสำเร็จในตัวต่างกรรมต่างวาระ การลักเอาบัตรเอ.ที.เอ็ม. ไป กับการลักเงินจึงเป็นความผิดหลายกรรม ส่วนฎีกาของจำเลยที่อ้างว่าจำเลยมีเจตนาแต่เพียงจะลักเงินของผู้เสียหาย การลักบัตรเอ.ที.เอ็ม. ก็เพื่อลักเงินจึงต้องลงโทษฐานลักบัตรเอ.ที.เอ็ม เพียงกรรมเดียว เมื่อเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดนั้นเห็นว่า การที่จำเลยลักเอาบัตรเอ.ที.เอ็ม. ของผู้เสียหายไปนั้น เป็นความผิดทั้งฐานเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่นตามมาตรา 188 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท จึงเป็นบทที่มีโทษหนักกว่าความผิดฐานลักทรัพย์ซึ่งมาตรา 334 ให้จำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 6,000 บาท ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยตามมาตรา 188 สำหรับความผิดที่จำเลยเอาบัตรเอ.ที.เอ็ม.ของผู้เสียหายไปจึงชอบแล้ว ส่วนการที่จำเลยนำบัตรเอ.ที.เอ็ม. จำนวน 2 ใบ ของผู้เสียหายไปลักเอาเงินโดยถอนเงินจากเครื่องฝากถอนเงินอัตโนมัติจำนวน 11 ครั้งจะเป็นความผิดกรรมเดียวดังที่จำเลยฎีกาหรือไม่ เห็นว่า บัตรเอ.ที.เอ็ม. ของผู้เสียหาย2 ใบนี้เป็นบัตรต่างธนาคารกัน และเงินฝากของผู้เสียหายที่ถูกลักไปก็เป็นเงินฝากในบัญชีต่างธนาคารกันด้วย เจตนาในการกระทำผิดของจำเลยจึงแยกจากกันได้ตามความมุ่งหมายในการใช้บัตรแต่ละใบ การกระทำของจำเลยที่ใช้บัตรเอ.ที.เอ็ม. 2 ใบของผู้เสียหายลักเอาเงินฝากของผู้เสียหายต่างบัญชีกัน แม้จะทำต่อเนื่องกันก็เป็นความผิดสองกรรม ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายมีว่าสมควรลดโทษและรอการลงโทษให้จำเลยหรือไม่ เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์โดยจำคุกจำเลยกระทงละ 3 ปี นั้นหนักเกินไป เห็นสมควรกำหนดให้น้อยลงอีกโดยจำคุกจำเลยเพียงกระทงละ 2 ปี แต่เนื่องจากทรัพย์ที่จำเลยลักไปเป็นเงินจำนวน 97,000 บาท กรณีไม่สมควรรอการลงโทษให้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน"

พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานลักทรัพย์จำคุกกระทงละ 2 ปี รวมกับโทษความผิดฐานเอาเอกสารของผู้อื่นไปที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดไว้ 2 ปี เป็นจำคุก 6 ปีนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หมายเลขคดีดำศาลฎีกา

แหล่งที่มา สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

sanook ข่าวสด มติชน spring

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
เข้าร่วมแพลตฟอร์มทนายออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย
งานปรึกษามากกว่า 20,000 งานต่อปี
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ: ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่ใช่เวอร์ชันล่าสุด รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจมีข้อมูลที่เป็นปัจจุบันหรือแม่นยำกว่า เราไม่รับประกันหรือรับประกันเกี่ยวกับความถูกต้อง ความสมบูรณ์ หรือความเพียงพอของข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้หรือข้อมูลที่เชื่อมโยงกับเว็บไซต์ของรัฐ โปรดตรวจสอบแหล่งที่มาอย่างเป็นทางการ
ข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ : www.krisdika.go.th, deka.supremecourt.or.th