ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


ในคดีนี้เดิมโจทย์เป็นความกับพระยาเทพหัสดินเรื่องสัญญาจะขายที่ดินให้แก่กัน ในระหว่างพิจารณาคดีเรื่องนั้น โจทย์ยื่นคำร้องต่อศาล ๒ ฉบับ มีความว่า โจทย์กับพวกมอบอำนาจให้จำเลยเป็นผู้ออกเงินซื้อที่นา (ของพระยาเทพหัสดิน) ไว้ในนามของจำเลย แลจำเลยก็ยอมรับทำให้ครั้นคดีถึงที่สุดพวกโจทย์กับจำเลยต่างคนนำเงินราคานามาวางศาล แต่จำเลยเป็นผู้นำเงินมาวางมากกว่าพวกโจทย์ ศาลจึงสั่งให้โอนโฉนดในนามของจำเลยมีเนื้อที่ ๑๗๘๕ ไร่ ๘๐ วา เมื่อจำเลยได้รับโฉนดเรียบร้อยแล้ว จำเลยก็ให้โจทย์ทำสัญญาเช่านารายนี้ไว้จากจำเลย ต่อมาโจทย์นำเงิน ๓๙๐๐ มาให้จำเลย ขอให้จำเลยโอนที่นาให้ ๖๐๐ ไร่ จำเลยไม่ยอม และอ้างว่าจำเลยซื้อนารายนี้เป็นส่วนตัว โดยโจทย์มอบอำนาจให้
ฎีกาตัดสินว่า การที่จำเลยซื้อที่นานั้นไว้ในฐานเป็นตัวแทนโจทย์โดยปริยาย เพราะจำเลยเป็นคนนอกสำนวน ถ้าโจทย์ไม่มอบอำนาจให้แล้ว จำเลยก็ไม่มีอำนาจซื้อที่นานั้นได้ และเป็นน่าที่ของจำเลยจะต้องสืบหักล้างว่าตนไม่ได้เป็นตัวแทนของโจทย์ ส่วนที่โจทย์ขอให้จำเลยโอนที่นาเพียง ๖๐๐ ไร่ เท่านั้น โจทย์มีอำนาจฟ้องได้ และข้อที่จำเลยให้โจทย์ทำสัญญาเช่านั้น ก็ไม่ตัดสำนวนโจทย์ เพราะมีข้อไขว่า ถ้าโจทย์นำเงินมาชำระจำเลย ๆ จะต้องคืนนาให้ และการที่คิดค่าเช่าให้กันก็พอจะสันนิษฐานได้ว่า เพื่อเป็นค่าป่วยการ เพราะจำเลยเป็นผู้ออกเงินมาก
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









