คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 916/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1605, 1748
โจทก์และจำเลยทั้งหมดต่างเป็นทายาทของเจ้ามรดกซึ่งถึงแก่กรรมไม่น้อยกว่า 60 ปีแล้ว พ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1754 โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นมรดกที่ยังมิได้แบ่งปันกันนี้ตามมาตรา 1748 มิฉะนั้นคดีโจทก์ขาดอายุความมรดกการที่จำเลยครอบครองมรดกมาฝ่ายเดียวไม่เป็นการเบียดบังอันจะถูกกำจัดมรดก
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เป็นมรดกของนายโดดและนางแกว่วหรือน้อย นายโดดและนางแกว่วหรือน้อยถึงแก่กรรมก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ไม่น้อยกว่า 60 ปี โจทก์ทั้งสี่และจำเลยที่ 1เป็นทายาทโดยธรรมของคนทั้งสองนั้น โดยโจทก์ที่ 1 ที่ 4 ที่ 5 และจำเลยที่ 1เป็นทายาทชั้นหลาน โจทก์ที่ 2 ที่ 3 และจำเลยที่ 2 ถึงที่ 8 เป็นทายาทชั้นเหลน
มีข้อวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ว่าคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และจำเลยทั้งแปดต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดก เพราะปิดบังมรดกรายนี้หรือไม่
ในข้อที่ว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754 บัญญัติไว้มีใจความว่า ห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เมื่อเจ้ามรดกตาย หรือนับแต่ทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ถึงอย่างไรก็ดีห้ามมิให้ฟ้อง เมื่อพ้นกำหนดสิบปี นับแต่เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่ความตาย โจทก์ฟ้องคดีนี้ เมื่อพ้นกำหนดเวลาดังกล่าว โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องนำสืบให้เห็นว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทซึ่งยังมิได้แบ่งปันกันนี้ ตามมาตรา 1748 ได้พิเคราะห์คำเบิกความของตัวโจทก์ที่ 3ที่ 4 ที่ 5 นายมั่ง นกเทศ นายแสน สว่างแจ้ง นายจำปี สำราญ นายมิ่ง นกเทศ และนายประสิทธิ์ สำราญ พยานโจทก์แล้วไม่ปรากฏว่าโจทก์ที่ 2 ได้ร่วมครอบครองที่พิพาทมาแต่ประการใด ที่พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความว่าโจทก์ที่ 1ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ครอบครองที่พิพาทตลอดมา ได้ให้นายวงษ์สามีจำเลยที่ 1 แจ้งการครอบครองแทนพวกโจทก์ เป็นการเบิกความที่ไม่มีหลักฐานใด ๆ สนับสนุน ปรากฏในคำเบิกความของโจทก์ที่ 5 ว่านางหว่างมารดาของตน ซึ่งเป็นทายาทคนหนึ่งของเจ้ามรดกมีสามีไปปลูกบ้านอยู่ที่บางโพธิ์และอยู่ที่นั่นจนตาย ตัวโจทก์ที่ 5 แต่งงานแล้วไปอยู่ที่บ้านบิดามารดากระทั่งมีบุตร ขณะนี้บุตรคนโตอายุได้ 23 ปี และได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ที่ 4 ซึ่งในขณะเบิกความอายุได้ 74 ปีว่า โจทก์ที่ 4 แต่งงานกับนายป้อม วันดี เมื่ออายุได้ 25 ปี และได้อยู่กินกันที่ตำบลบางโพธิ์จนทุกวันนี้นางชื่นโจทก์ที่ 1 ไปอยู่คลองพิกุลราว 60 ปีและว่านายสมบัติบิดาโจทก์ที่ 3ไปอยู่กับภรรยาที่ตำบลบ้านกลาง โจทก์ที่ 3 เกิดที่บ้านนี้และอยู่บ้านนี้ตลอดมาปรากฏในคำเบิกความของโจทก์ที่ 3 ว่า ขณะเบิกความโจทก์ที่ 3 มีอายุ 42 ปีซึ่งแสดงว่าพวกโจทก์แต่ละคนได้ออกจากที่พิพาทไปอยู่ที่อื่นเป็นเวลาช้านานมาแล้ว ที่โจทก์นำสืบว่าได้มาเกี่ยวข้องเอาประโยชน์ในที่พิพาทตลอดเวลามาอันเป็นการแสดงการครอบครองร่วมของพวกโจทก์นั้นเห็นว่า นอกจากเป็นการนำสืบลอย ๆ แล้วยังปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่าที่พิพาทมีความยาวทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ด้านละ 25 วา ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกกว้าง 17 วา และ 16 วาตามลำดับ และว่าที่ดินแปลงนี้มีเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ แต่ปรากฏตามแบบแจ้งการครอบครองสำหรับที่พิพาทตามสำเนาภาพถ่าย ซึ่งเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีส่งมาตามคำสั่งเรียกของศาลรวมอยู่ในสำนวนอันดับที่ 32 ว่าที่ดินนี้กว้างทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ด้านละ 7 วา และยาวทางด้านทิศตะวันออก ทิศตะวันตกด้านละ 1เส้น 10 วา มีเนื้อที่เพียง 2 งาน 10 ตารางวาเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกันถึงครึ่งจำนวนแสดงว่าฝ่ายโจทก์ไม่ทราบขนาดความกว้างยาวและจำนวนเนื้อที่ของที่ดินนี้เลย ซึ่งถ้าฝ่ายโจทก์ได้เคยเข้าเกี่ยวข้องครอบครองมาด้วยจริงดังที่กล่าวอ้าง ก็น่าจะได้รู้หรือถ้าจะจำผิดพลาดไปบ้างก็คงไม่ผิดพลาดมากมายถึงขนาดนี้ เพราะที่ดินแปลงนี้มีเนื้อที่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ฝ่ายจำเลยมีตัวจำเลยที่ 1ที่ 7 นางเอม ภูเจริญ นายปุ่น คงเพชร มาเบิกความเป็นพยานว่า เมื่อนายโดดนางแกว่วหรือน้อยตาย จำเลยที่ 1 กับนายวงษ์สามีครอบครองที่พิพาทตลอดมาโดยทายาทอื่น ๆ ได้ออกไปอยู่ที่อื่นเป็นเวลาช้านานไม่ได้เกี่ยวข้องเลย นายวงษ์ได้แจ้งการครอบครองไว้เป็นหลักฐานตั้งแต่วันที่ 31 มกราคม 2498 และเสียภาษีบำรุงท้องที่ตลอดมา ศาลฎีกาเห็นว่าพยานจำเลยมีน้ำหนักและเหตุผลดีกว่าพยานโจทก์ ฟังได้ว่าฝ่ายจำเลยโดยจำเลยที่ 1 ในฐานะทายาทโดยธรรมของนายโดดและนางแกว่วหรือน้อยได้ถือสิทธิครอบครองที่พิพาทอันเป็นมรดกของนายโดดและนางแกว่วหรือน้อยอย่างเป็นเจ้าของมาแต่ผู้เดียวโดยฝ่ายโจทก์มิได้ครอบครองร่วมด้วยแต่ประการใด คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1754, 1755 โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกเอามรดกรายนี้อีกต่อไป ทั้งเห็นว่าการกระทำของจำเลยดังกล่าวมาหาเป็นการเบียดบังทรัพย์มรดกอันจะต้องถูกกำจัดมิให้รับมรดกตามมาตรา 1605ดังที่โจทก์ฎีกามาไม่"
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา เนติบัณฑิตยสภา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - นางชื่น สำราญ กับพวก จำเลย - นางแอ๊ด เณรคล้าย กับพวก
ชื่อองค์คณะ สุไพศาล วิบุลศิลป์ จันทร์ ระรวยทรง สุวัฒน์ รัตรสาร
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan