ปรึกษาทนายความได้ตลอด 24 ชั่วโมง
คำปรึกษามากกว่า
10,000+
ทนายความตัวจริง
500+


คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกัน
สำนวนแรกผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า ขอให้มีคำสั่งว่าผู้ร้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 1499, 1511
ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องบิดาไม่เคยครอบครองที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าว หากแต่บิดามารดาผู้คัดค้านยกให้ผู้คัดค้านมานานกว่า 40 ปี แล้ว โดยไม่ได้จดทะเบียน เมื่อปี 2500 ผู้คัดค้านได้ให้นายสำรวยพี่ชายเป็นผู้ดูแลและเก็บโฉนดที่ดินไว้ หลังจากนายสำรวยถึงแก่ความตาย ผู้ร้องก็ไปหลอกลวงภรรยานายสำรวยเอาโฉนดที่ดินดังกล่าวไปและในปี 2524 ผู้ร้องสมคบกับบิดาผู้ร้องให้บิดาผู้ร้องยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกที่ดินดังกล่าวผู้คัดค้านไปคัดค้านศาลมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอ ครั้นปี 2533ผู้คัดค้านได้ร้องขอต่อเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองให้เรียกผู้ร้องมาส่งมอบโฉนดที่ดินแก่ผู้คัดค้าน ผู้ร้องตกลงจะคืนให้แล้วกลับไม่ยินยอม ขอให้ยกคำร้องขอ
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนายวัง นางคุนหรือคูนก่อนถึงแก่ความตายบุคคลทั้งสองได้ยกที่ดินโฉนดเลขที่ 1499, 1511ให้โจทก์โดยไม่ได้จดทะเบียน โจทก์ยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของบิดามารดา ศาลมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 1499, 1511 แก่โจทก์ และห้ามจำเลยยุ่งเกี่ยวในที่ดินดังกล่าว
จำเลยให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม คำฟ้องของโจทก์ในฐานะส่วนตัวไม่มีอำนาจฟ้อง บิดามารดาโจทก์ไม่เคยยกที่ดินพิพาทให้โจทก์ หากยกให้ก็ไม่สมบูรณ์เพราะไม่จดทะเบียนตามกฎหมาย และโจทก์ไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท ที่ดินพิพาทไม่ใช่ทรัพย์มรดก จำเลยครอบครองที่ดินดังกล่าวต่อจากนายสังวาลย์บิดาซึ่งครอบครองโดยสงบเปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาเป็นเวลา 30 ปีเศษ จำเลยจึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครอง ขอให้ยกฟ้อง
เพื่อสะดวกแก่การพิจารณา ศาลชั้นต้นให้เรียกผู้ร้องในสำนวนแรกว่า จำเลย และเรียกผู้คัดค้านว่า โจทก์
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 1499, 1511 แก่โจทก์ โดยห้ามจำเลยไม่ให้ยุ่งเกี่ยวในที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป ส่วนคำร้องขอของจำเลยในสำนวนแรกให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นข้อแรรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวอ้างว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโดยบิดามารดาโจทก์ยกให้ แต่มิได้จดทะเบียนการให้ จำเลยยึดถือโฉนดที่ดินพิพาทไว้ ไม่ยอมส่งมอบให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดกตามคำสั่งของศาลชั้นต้น ขอให้บังคับจำเลยส่งมอบโฉนดที่ดินพิพาทนั้นเป็นการบรรยายสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น โดยแจ้งชัดแล้ว คำฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
ประเด็นข้อ 2 มีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องอ้างสิทธิในการเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท โดยบิดามารดายกให้และในฐานะเป็นผู้จัดการมรดกที่ดินพิพาทด้วย แต่จำเลยยึดถือโฉนดที่ดินพิพาทไว้ โดยมิได้ส่งมอบคืนให้โจทก์ในฐานะผู้จัดการมรดก เมื่อโจทก์ทวงถาม การกระทำของจำเลยจึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ในฐานะเจ้าของที่ดินและในฐานะผู้จัดการมรดก โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้
สำหรับประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในข้อ 3 ว่า โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องโดยการยกให้จากเจ้าของที่ดินหรือไม่และในข้อ 4 ว่า จำเลยได้ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่นั้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การยกให้ที่ดินพิพาท โดยไม่ได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ย่อมไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 525 โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาท และจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท โดยโจทก์โต้แย้งตลอดมา ถือไม่ได้ว่าเป็นการครอบครองโดยสงบ จำเลยจึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง ในประเด็นข้อ 3โจทก์มิได้อุทธรณ์หรือแก้อุทธรณ์ ประเด็นนี้จึงยุติ ศาลอุทธรณ์ไม่มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย ส่วนจำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยครอบครองที่ดินพิพาท โดยสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของต่อมาจากบิดาจำเลยเกินสิบปี จำเลยย่อมได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง แต่ศาลอุทธรณ์กำหนดประเด็นเพื่อวินิจฉัยว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย จึงไม่ตรงกับประเด็นที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ในชั้นชี้สองสถาน และที่จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ เท่ากับศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ขึ้นมา เนื่องจากโจทก์จำเลยสืบพยานกันมาจนสิ้นกระบวนพิจารณาแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยให้ โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยใหม่
ประเด็นข้อสุดท้ายจึงมีว่า จำเลยได้ที่ดินพิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ เห็นว่า นายสังวาลย์บิดาจำลเยเบิกความยอมรับว่า นางล้วน ทัศนา เคยเช่าที่ดินพิพาททำนา แต่เมื่อนางล้วน ทัศนา มาเบิกความก็ยืนยันว่า เช่าที่ดินพิพาทจากนายสำรวยทั้งนายสำรวยบอกนางล้วนว่าเป็นที่ดินของโจทก์ฝ่ายจำเลยมิได้ถามค้านให้เห็นเป็นอย่างอื่น ทั้งปรากฏว่าเมื่อปี 2524 นายสังวาลย์บิดาจำเลยยื่นคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกที่ดินพิพาท โจทก์ทราบเรื่องได้มาคัดค้านนายสังวาลย์บิดาจำเลยจึงถอนคำร้องขอไป ต่อมาปี 2533 จำเลยก็ยินยอมที่จะคืนโฉนดที่ดินพิพาทให้โจทก์ เพื่อไปดำเนินการจดทะเบียนนิติกรรมตามความประสงค์ได้ทุกเมื่อที่โจทก์ต้องการ ตามเอกสารหมายจ.9 แสดงว่า ตลอดระยะเวลาที่จำเลยอ้างว่าบิดาจำเลยครอบครองที่ดินพิพาท และจำเลยครอบครองต่อจากบิดาจำเลยโจทก์ได้โต้แย้งจำเลยตลอดมา การครอบครองดังกล่าวนั้นย่อมไม่ใช่การครอบครองโดยสงบ ประเด็นนี้ ภาระการพิสูจน์ตกอยู่แก่จำเลย เมื่อจำเลยพิสูจน์ไม่ได้ จำเลยย่อมไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทโดยการครอบครอง
พิพากษายืน
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา









