คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9538/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 174 (2), 246
เมื่อวันที่5ตุลาคม2537ทนายโจทก์มอบฉันทะให้อ.เสมียนทนายนำอุทธรณ์ของโจทก์มายื่นต่อศาลชั้นต้นและให้ทำคำแถลงชำระค่าธรรมเนียมและรับทราบคำสั่งศาลแทนเจ้าหน้าที่งานอุทธรณ์ฎีกาได้ใช้ตรายางประทับไว้ที่ริมซ้ายของอุทธรณ์ว่าให้มาทราบคำสั่งในวันที่12ตุลาคม2537ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้วและอ.เสมียนทนายลงชื่อไว้แล้วต่อมาวันที่6ตุลาคม2537อ.ได้ไปวางเงินเป็นค่านำหมายคำฟ้องอุทธรณ์แก่จำเลยทั้งสามไว้ล่วงหน้าเจ้าหน้าที่ผู้รับเงินได้ลงลายมือชื่อรับเงินและประทับตรายางวันเดือนปีไว้ตามเอกสารท้ายฎีกาของโจทก์การที่เจ้าหน้าที่รายงานเสนอต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่15พฤศจิกายน2537ว่าศาลได้ส่งหมายนัดมาเมื่อวันที่17ตุลาคม2537บัดนี้พ้นกำหนดระยะเวลาในการนำหมายแล้วโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งนั้นซึ่งไม่ตรงกับความจริงคงเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจสอบให้รอบคอบเกี่ยวกับผู้แทนโจทก์ได้เสียค่าธรรมเนียมในการส่งหมายนัดนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ทั้งสามไว้ล่วงหน้าแล้วก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ถึง1วันดังนี้จะถือว่าโจทก์มิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสามตามคำสั่งศาลชั้นต้นเป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดอันจะถือว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมาหาได้ไม่ศาลฎีกาให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสามแล้วดำเนินการต่อไป
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน 252,865 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 250,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ สำเนาให้จำเลยให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์ภายใน 7 วัน หากส่งไม่ได้ให้แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์ต่อมาเจ้าหน้าที่รายงานว่าพ้นกำหนดระยะเวลาในการนำหมายแล้วโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่ง ศาลชั้นต้นให้ส่งสำนวนไปศาลอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้นำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสามตามคำสั่งศาลชั้นต้น เป็นการเพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด ถือว่าโจทก์ทิ้งอุทธรณ์ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ประกอบมาตรา 246ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความของศาลอุทธรณ์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปรากฏข้อเท็จจริงในสำนวนว่า เมื่อวันที่5 ตุลาคม 2537 นายสมเกียรติ วัชเรศโยธิน ทนายโจทก์ มอบฉันทะให้นายอานนท์ พืชสุวรรณ เสมียนทนายนำอุทธรณ์ของโจทก์มายื่นต่อศาลชั้นต้นและให้ทำคำแถลง ชำระค่าธรรมเนียมและรับทราบคำสั่งแทน เจ้าหน้าที่งานอุทธรณ์ฎีกาได้ใช้ตรายางประทับไว้ที่ริมซ้ายของอุทธรณ์ว่า ให้มาทราบคำสั่งในวันที่ 12 ตุลาคม 2527 ถ้าไม่มาให้ถือว่าทราบคำสั่งแล้ว ลงชื่อนายอานนท์ พืชสุวรรณเสมียนทนายวันที่ 6 ตุลาคม 2537 นายอานนท์ได้ไปวางเงิน 450 บาท เป็นค่านำหมายคำฟ้องอุทธรณ์แก่จำเลยทั้งสามไว้ล่วงหน้า เจ้าหน้าที่ผู้รับเงินได้ลงลายมือชื่อรับเงินและประทับตรายางวันเดือนปีไว้ตามเอกสารท้ายฎีกาของโจทก์ ข้อความดังกล่าวนี้จำเลยทั้งสามได้รับสำเนาฎีกาของโจทก์แล้วไม่ยื่นคำแก้ฎีกา ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2537 นายอานนท์เสมียนทนายโจทก์ได้นำเงินค่านำหมายส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสามไว้ล่วงหน้าแล้ว ที่เจ้าหน้าที่รายงานเสนอต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่15 พฤศจิกายน 2537 ว่า ด้วยในคดีเรื่องนี้ศาลได้ส่งหมายนัดมาเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2537 บัดนี้พ้นกำหนดระยะเวลาในการนำหมายแล้วโจทก์หรือผู้แทนโจทก์ไม่มาเสียค่าธรรมเนียมในการส่งนั้นจึงไม่ตรงกับความจริง ทั้งนี้คงเป็นเพราะเจ้าหน้าที่ไม่ได้ตรวจสอบให้รอบคอบเกี่ยวกับผู้แทนโจทก์ได้เสียค่าธรรมเนียมในการส่งหมายนัดนำส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่โจทก์ทั้งสามไว้ล่วงหน้าแล้วก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ถึง 1 วัน ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
อนึ่ง โจทก์ฎีกาขอให้ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ต้องเสียค่าขึ้นศาลสองร้อยบาท ตามตาราง 1 ข้อ 2(ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง สมควรให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาที่โจทก์เสียเกินมาให้แก่โจทก์
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสามแล้วดำเนินการต่อไปค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลอุทธรณ์รวมสั่งในคำพิพากษาคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินให้โจทก์ 6,122.50 บาท
หมายเลขคดีดำศาลฎีกา nan
แหล่งที่มา กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ชื่อคู่ความ โจทก์ - บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด จำเลย - นาย วทิยา วรวิทยานนท์กับพวก
ชื่อองค์คณะ บรรเทิง มุลพรม ปรีชา เฉลิมวณิชย์ ระพินทร บรรจงศิลป
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ที่ตัดสิน nan