Q: โดนแจ้งความบอกว่าลักทรัพย์นายจ้าง
ข้าพเจ้าทำงานอยู่บริษัทแห่งหนึ่งเป็นธุรการแต่หัวหน้าให้ทำเบิกเงินของบริษัทเข้าบัญชีตัวเองแล้วนายจ้างมาตรวจสอบเอกสารทีหลังหาว่าลักทรัพย์เอาเงินมาหมุนก่อนเราจะสู้ยังไงได้บ้างคะ
คำตอบจากทนาย (5)
A: ต้องดูที่เจตนาครับ หากคุณทำตามคำสั่งหัวหน้า แล้วเงินที่โอนไปคุณไม่ได้นำไปใช้ส่วนตัวหรือโอนออกไปให้คนอื่น ก็อาจจะสู้ได้ว่าไม่ได้มีเจตนาลักทรัพย์ และคุณต้องอธิบายได้ว่ามีเหตุผลอะไรถึงโอนเข้าบัญชีตัวเองก่อน เช่นเพื่อสะดวกในการโอนเงินทีละหลาย ๆ รายการ เป็นต้น แต่หากคุณเอาไปหมุนจริง ๆ ก็เจรจรขอชดใช้เพื่อไม่ให้นายจ้างเอาเรื่องครับ
A: กรณีนี้ข้อเท็จจริงชี้ว่า คุณทำตามคำสั่งหัวหน้าที่มอบหมายให้เบิกเงินเข้าบัญชีตนเอง ไม่ใช่มี “เจตนาทุจริตยักยอกหรือลักทรัพย์” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 352 ดังนั้น แนวทางสู้คดีคือ พิสูจน์ว่าเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งในการทำงาน, เงินถูกใช้ตามหน้าที่ ไม่มีการนำไปใช้ส่วนตน และหัวหน้ารับทราบทุกขั้นตอน. พยานสำคัญคือ แชท/อีเมลสั่งงาน, รายการโอน, วิธีเบิกเงินที่บริษัทใช้เป็นประจำ, รวมถึงการสอบปากคำหัวหน้า. หากพิสูจน์ได้ว่าเป็น “การเบิกตามคำสั่งงาน” ข้อหาลักทรัพย์จะอ่อนมาก เพราะขาดองค์ประกอบ “เจตนาฉกฉวยเอาทรัพย์นายจ้าง”. ควรไปพบพนักงานสอบสวน พร้อมหลักฐานทั้งหมด
A: ทนายแนะนำว่าให้สู้ไปตามพยานหลักฐานเอกสารค่ะ ต้องชี้แจงรายการเดินบัญชีส่วนตัวของตนเอง ว่าเมื่อได้รับยอดเงินของบริษัทฯแต่ละยอดไปแล้วนั้น นำเงินของบริษัทไปดำเนินการตามคำสั่งของหัวหน้าอย่างไร ทำสมุดบัญชีบันทึกว่าแต่ละยอดที่โอนเข้าและออกคือค่าอะไรบ้าง สรุปยอดเงินบริษัทคงเหลือเท่าใด ประกอบกับหลักฐานที่ได้รับคำสั่งจากหัวหน้างาน ที่มอบหมายให้ดำเนินการแทนบริษัทค่ะ
A: ในกรณีที่เป็นการทำไปตามคำสั่งในทางการที่จ้างก็ต้องรวบรวมพยานหลักฐานชี้แจงและต่อสู้คดีครับ แต่หากเป็นการนำเงินมาหมุนใช้จริงควรรับสารภาพและชดใช้ให้แก่ผู้เสียหายแล้วให้ผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความเราครับ ทั้งนี้ความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างยอมความไม่ได้ แต่การที่ผู้เสียหายแถลงไม่ติดใจเพิ่มโอกาสที่ทำให้เราได้รับการลงโทษสถานเบา รวมถึงการรอการลงโทษด้วย
A: ถ้าไม่ได้มีเจตนาก็สู้เรื่องเจตนาครับ ต้องสอบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพิ่มเติมก่อนนะครับถึงวางแนวต่อสู่ถูก
เดือน




