
Drug Law 101: รู้จักกฎหมายยาเสพติดไทยฉบับใหม่ใน 5 นาที

กฎหมายยาเสพติดเป็นหนึ่งในกฎหมายที่มีผลกระทบต่อชีวิตคนไทยมากที่สุด แต่กลับเป็นหมวดกฎหมายที่ประชาชนจำนวนมากเข้าใจผิดมากที่สุดเช่นกัน ความเข้าใจผิดเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะสามารถนำไปสู่ผลทางกฎหมายที่รุนแรงอย่างไม่จำเป็น
ทั้งการถูกตั้งข้อหาเกินจริง การรับสารภาพโดยไม่รู้สิทธิของตน การไม่ได้รับการประกันตัว หรือแม้กระทั่งการติดคุกเพียงเพราะไม่รู้หลักเกณฑ์พื้นฐานของกฎหมายยาเสพติด
บทความนี้จึงต้องการอธิบายทุกประเด็นสำคัญให้ชัดเจน ให้ความรู้เรื่องยาเสพติด อย่างเข้าใจง่าย และเชื่อมโยงกับชีวิตจริงของประชาชน โดยอาศัยกฎหมายฉบับใหม่คือ พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2564 รวมทั้งคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เข้าใจอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด
สิ่งแรกที่ควรรู้ คือ กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่มีเจตนารมณ์ที่แตกต่างจากกฎหมายเดิมอย่างมาก
กฎหมาย 2564 มุ่งแยก “ผู้เสพที่เป็นผู้ป่วย” ออกจาก “ผู้ค้าที่เป็นผู้กระทำผิดร้ายแรง” ทำให้การจับกุมผู้เสพหรือผู้ครอบครองเพื่อเสพมีแนวโน้มถูกนำเข้าสู่ระบบบำบัด มากกว่าการลงโทษจำคุกเหมือนในอดีต
แม้เจตนารมณ์จะดี แต่ต้องยอมรับว่าความเข้าใจของประชาชนยังตามไม่ทัน ทำให้เกิดข่าวลือ ความเข้าใจผิด และความกลัวที่ไม่จำเป็น เช่น บางคนคิดว่ามีของกลางเพียงเศษเสี้ยวก็ต้องติดคุก หรือบางคนคิดว่าหากสารภาพจะได้กลับบ้านเร็ว ซึ่งไม่เป็นจริงทั้งหมด การเข้าใจกฎหมายจึงสำคัญกว่าที่เคย
หนึ่งในความเข้าใจผิดที่ใหญ่ที่สุดคือคำถามว่า “มีของเท่าไหร่ถึงจะติดคุก?”
หลายคนเชื่อว่ามีเกณฑ์ตายตัว เช่น “ต่ำกว่า 1 กรัมไม่ติดคุก” หรือ “ยาบ้าไม่ถึง 15 เม็ดถือว่าเสพ” ซึ่งทั้งหมด ไม่เป็นความจริง เพราะเกณฑ์ที่ใช้จริงคือ “5 กรัม” ตามประกาศกระทรวงยุติธรรม แม้ไม่ได้ระบุในตัวบทกฎหมายแต่ถูกใช้เป็นแนวปฏิบัติของตำรวจ อัยการ และศาลทั่วประเทศ
โดยเกณฑ์นี้ระบุว่า หากพบยาเสพติดประเภท 1 เช่น ไอซ์ ยาบ้า เฮโรอีน เกิน 5 กรัม จะสันนิษฐานว่าเป็นการ “ครอบครองเพื่อจำหน่าย” ทันที ตามมาตรา 148 ซึ่งมีโทษจำคุก 4–15 ปี และปรับสูงสุดหลายแสนบาท
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมคดีจำนวนมากที่มีของกลางน้ำหนักไม่มากนักแต่เกินจุดนี้ กลายเป็นคดีร้ายแรงทันที แม้ผู้ต้องหาจะยืนยันว่าสำหรับเสพก็ตาม
⭐️ ปรึกษาทนายเบื้องต้นฟรี ง่ายๆผ่านทาง Free Q&A ของ Legardy โดยไม่จำเป็นต้องระบุตัวตน
แต่สิ่งที่ประชาชนจำนวนมากยังไม่รู้คือ หากน้ำหนักต่ำกว่า 5 กรัม การสันนิษฐานเพื่อจำหน่ายจะไม่ใช้โดยอัตโนมัติ เจ้าหน้าที่ต้องพิสูจน์จาก “พฤติการณ์แวดล้อม”
เช่น การแบ่งเป็นซองเล็ก การมีถุงซิปจำนวนมาก เครื่องชั่งดิจิตอล การโอนเงินเข้าออกหลายบัญชี โทรศัพท์มีข้อความซื้อขาย หรือแม้แต่การส่งแบบเดลิเวอรี่
ซึ่งทั้งหมดสามารถทำให้คดีเปลี่ยนจาก “เสพ” เป็น “จำหน่าย” ได้ แม้มีไอซ์เพียง 0.3–0.7 กรัม
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา
คำพิพากษาฎีกาที่ 3050/2556 ซึ่งผู้ต้องหามีไอซ์จำนวนเล็กน้อย แต่พบถุงคล้ายซองแบ่งจำนวนมาก ศาลจึงตัดสินว่าเข้าข่ายจำหน่าย ไม่ใช่เสพ แม้ของกลางจะไม่ได้มากก็ตาม
นอกจากนี้ ยังมีคดีที่ศาลยกฟ้องแม้พบยาเสพติดในบ้านเพราะพิสูจน์ไม่ได้ว่าจำเลย “รู้และยินยอม” ให้ยาเสพติดอยู่ในความครอบครองของตน เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 3538/2545 ที่ศาลวินิจฉัยว่า ของกลางถูกซ่อนไว้ในพื้นที่ที่ผู้ต้องหาไม่ได้ดูแลโดยตรง จึงไม่ถือว่าครอบครองตามความหมายของกฎหมาย
ซึ่งเน้นหนักว่าต้องมี “เจตนาครอบครอง” ไม่ใช่เพียงพบของในพื้นที่เท่านั้น
ประชาชนจึงควรเข้าใจว่า “การครอบครอง” ไม่ได้หมายถึงแค่ของอยู่ในบ้าน แต่ต้องพิสูจน์ได้ว่าผู้ต้องหามีเจตนาควบคุมของนั้นด้วย
📖 อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- โดนคดียาเสพติด ประกันตัวได้ไหม? ต้องเตรียมอะไรบ้าง?
- เคาะแล้ว! ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ 2564 ปรับเปลี่ยนอะไรบ้าง
- ยาไอซ์และโทษของการเสพ ครอบครอง จำหน่าย
- ถูกหลอกให้ขนหรือรับยาเสพติด มีความผิดหรือไม่? แนะนำโดยทนาย
สำหรับผู้ที่ถูกจับข้อหาเสพยาเสพติด

กฎหมายใหม่เน้นให้เข้าสู่ระบบบำบัดแทนการลงโทษอาญา ตามหลัก “ผู้เสพเป็นผู้ป่วย ไม่ใช่อาชญากร”
- ผู้ที่ถูกจับข้อหาเสพ จะถูกส่งตรวจสารเสพติด และหากผลตรวจเป็นบวก จะถูกสั่งให้เข้ารับการบำบัดตามมาตรา 100 ของ พ.ร.บ.ยาเสพติด
- ผู้ที่ให้ความร่วมมือ รายงานตัวสม่ำเสมอ ไม่ทำผิดซ้ำ และผ่านโปรแกรมบำบัด จะได้รับการลดหย่อนโทษหรืออาจไม่ถูกดำเนินคดีอาญาเลย
- แต่หากหลบหนี ไม่รายงานตัว หรือปฏิเสธการบำบัด ศาลจะนำคดีเข้าสู่กระบวนการอาญาต่อไป
อย่างไรก็ตาม การบำบัดไม่ใช่การปล่อยตัวเสมอไป
เพราะในบางกรณีศาลอาจสั่งคุมประพฤติ ตรวจสารเสพติดเป็นระยะ และกำหนดเงื่อนไขอื่น เช่น ห้ามยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ห้ามออกนอกพื้นที่ หรือห้ามคบหาหมู่คณะเสี่ยง
หากพิจารณาคดีครอบครองเพื่อเสพที่ไม่มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้า ศาลมักใช้ดุลพินิจ “รอการลงโทษ” หรือ “รอลงอาญา” โดยเฉพาะผู้กระทำผิดครั้งแรก
📢 หากคุณกำลังมองหา คำปรึกษาคดียาเสพติด หรือต้องการปรึกษาปัญหากฎหมายอื่นๆ ติดต่อทนาย กว่า 700 คนทั่วประเทศผ่านเว็บไซต์ได้เลย
ตัวอย่างเช่น
คดีที่ผู้ต้องหาครอบครองไอซ์ 0.5 กรัม ไม่มีประวัติการค้า ไม่มีถุงแบ่ง ไม่มีแชตซื้อขาย ศาลมักให้โอกาสเข้าสู่ระบบบำบัดและรอลงอาญา ซึ่งเป็นหลักการที่สอดคล้องกับแนวสาธารณสุขสากลที่มองว่ายาเสพติดเป็นปัญหาสุขภาพ มากกว่าปัญหาอาชญากรรม
แต่เมื่อพูดถึง “ของกลางจำนวนมาก” กฎหมายจะมีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน
เช่น หากพบของกลาง 20–100 กรัม โทษตามมาตรา 148 คือจำคุก 4–15 ปี และหากเกิน 100 กรัมขึ้นไป โทษอาจกลายเป็นจำคุกตลอดชีวิต โดยเฉพาะหากมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับเครือข่ายยาเสพติดหรือพบการค้าจำนวนมาก
กฎหมายยังเปิดทางให้ใช้มาตรการยึดทรัพย์ตาม พ.ร.บ.ฟอกเงิน เพื่อทำลายเส้นทางการเงินของผู้ค้ายาอีกด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ประชาชนควรรู้ เพราะในหลายคดีที่ตัวผู้กระทำผิดถูกจับไม่นาน แต่ทรัพย์สินถูกยึดเกือบทั้งหมดจากพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการค้า แม้บางครั้งจะไม่ใช่ทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาโดยตรง แต่หากพิสูจน์ไม่ได้ว่าได้มาโดยสุจริต ก็อาจโดนยึดเช่นกัน
⚖️ อ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติด
อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ สิทธิของผู้ถูกจับกุม

ซึ่งประชาชนจำนวนมากไม่รู้ว่าตนมีสิทธิอะไรบ้าง ทำให้ถูกเจ้าหน้าที่บางรายละเมิดสิทธิโดยไม่รู้ตัว เช่น
- สิทธิไม่ให้การที่เป็นโทษแก่ตนเอง
- สิทธิขอพบทนาย
- สิทธิให้บันทึกจับกุมตรงตามความจริง
- สิทธิขอประกันตัว
แม้ในคดียาเสพติด ศาลมีดุลพินิจให้ประกันตัวได้ในหลายกรณี โดยเฉพาะคดีเสพหรือครอบครองปริมาณไม่มาก ซึ่งมักใช้หลักทรัพย์ไม่สูง หรืออาจใช้ EM แทนเงินสด
ในทางปฏิบัติ จำนวนไม่น้อยได้รับการปล่อยตัวทันทีหลังถูกแจ้งข้อกล่าวหา หากไม่มีพฤติการณ์หลบหนีหรือขัดขวางกระบวนการยุติธรรม
📖 อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
สิ่งที่ควรระวังเป็นพิเศษคือ การจับกุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เช่น การค้นโดยไม่มีอำนาจตามกฎหมาย การตรวจปัสสาวะโดยไม่มีเหตุอันควรสงสัย การบังคับให้รับสารภาพ การยึดโทรศัพท์โดยไม่มีหมายค้น หรือการค้นในช่วงเวลาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่น ค้นในยามวิกาลในพื้นที่ไม่เข้าข้อยกเว้น
หลักฐานที่ได้จากการละเมิดสิทธิเหล่านี้อาจถูกตีตกในชั้นศาล ทำให้คดีอ่อนลงหรือยกฟ้องได้
ในชีวิตจริง ประชาชนต้องเผชิญกับปัญหาหลายรูปแบบ เช่น ถูกกลั่นแกล้งโดยผู้อื่นนำยาไปวางในรถหรือบ้าน ถูกใส่ร้ายเพราะสังคมออนไลน์ มีคนฝากของผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัว หรือแม้แต่พนักงานส่งของที่ถูกใช้ให้รับยาโดยไม่รู้ว่าของในกล่องเป็นยาเสพติด สิ่งสำคัญคือการพิสูจน์ว่าไม่มีเจตนาครอบครอง โดยดูที่ “การรู้และยินยอม” เป็นหลัก ถ้าไม่มีองค์ประกอบนี้ ก็ไม่ถือว่าผิด
เช่น คำพิพากษาฎีกาที่ 721/2559 ที่ผู้ถูกกล่าวหาถูกกล่าวหาว่ามียาเสพติดอยู่ในบ้าน แต่ไม่รู้ว่าคนอื่นนำมาซ่อนไว้ ศาลจึงยกฟ้อง
🔎หาคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ผ่านทางระบบ ค้นหาฎีกา ของ Legardy
ท้ายที่สุด
กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่มีเป้าหมาย 3 ประการ คือ
1) ช่วยผู้เสพให้หลุดพ้นจากวงจรยาเสพติดโดยใช้การบำบัดแทนการลงโทษ เช่น เสพ
2) ลดการลงโทษผู้ผิดรายย่อย และ
3) เพิ่มความเข้มงวดต่อผู้ค้าและเครือข่ายเพื่อทำลายโครงสร้างธุรกิจยาเสพติด
การรู้เท่าทันกฎหมายจึงเป็นการป้องกันตัวที่ดีที่สุด ลดความเสี่ยงการถูกกล่าวหาเกินจริง และทำให้ประชาชนรู้วิธีรับมืออย่างถูกต้องหากต้องเผชิญกับสถานการณ์จริง
เมื่อเข้าใจหลักการทั้งหมดนี้ เราจะเห็นชัดเจนว่า คำถามว่า “มีของแค่ไหนถึงติดคุก?” ไม่ใช่คำถามที่ตอบแบบตายตัวได้ เพราะการพิจารณาคดีจริง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักของกลางเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับพฤติการณ์ ประวัติ ภาพรวมของการจับกุม และสิทธิตามกฎหมายที่ผู้ถูกจับต้องรู้ หากประชาชนมีความรู้ จะสามารถปกป้องสิทธิของตนเอง ลดความเสี่ยงต่อการถูกดำเนินคดีไม่เป็นธรรม และเข้าใจว่ากฎหมายใหม่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้เสพและลงโทษผู้ค้าอย่างแท้จริง
💬 อ่านคำปรึกษากฎหมายและคำตอบจากทนาย (Q&A)
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ








