คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2539

ค้นหาธรรมดา

ค้นหาคำพิพากษาฎีกาอย่างรวดเร็ว

เคล็ดลับการค้นหา: ใช้ตัวกรองเพื่อค้นหาให้แม่นยำขึ้น

พบ 1582 รายการ (159 หน้า)

ฎีกาที่ 5775/2539

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5775/2539

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 833 ประมวลรัษฎากร ม. 78,

โจทก์ทำสัญญาซื้อขายสินค้ากับผู้ขายเพื่อนำสินค้ามาวางขายให้ห้างสรรพสินค้าของโจทก์โดยมีข้อตกลงกันว่าในขณะที่มีบุคคลที่สามมาขอซื้อสินค้าให้ถือว่าสินค้านั้นได้มีการซื้อขายเสร็จเด็ดขาดในระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายแล้วในทางปฏิบัติโจทก์ยอมให้ผู้ขายส่งสินค้าเข้ามาวางขายในห้างสรรพสินค้าของโจทก์ในสถานที่ที่โจทก์กำหนดโดยโจทก์ยังมิต้องชำระเงินค่าสินค้านั้นแก่ผู้ขายโจทก์จะชำระเงินให้ผู้ขายต่อเมื่อมีลูกค้าได้ตกลงซื้อสินค้านั้นในแต่ละเดือนจึงทำบัญชีสินค้าที่ขายได้ในแต่ละวันกันไว้ราคาที่โจทก์ซื้อและขายให้ลูกค้าก็ต้องเกิดจากการกำหนดร่วมกันระหว่างโจทก์และผู้ขายซึ่งนำสินค้ามาวางขายในห้างสรรพสินค้าของโจทก์แต่ตราบใดที่ยังไม่มีลูกค้าของโจทก์มาขอซื้อผู้ขายก็ยังคงต้องรับผิดชอบในความเสียหายหรือสูญหายของสินค้านั้นอยู่อีกทั้งเมื่อผู้ขายจะส่งสินค้ามาวางขายผู้ขายยังต้องดำเนินการติดตั้งของใช้ถาวรเฟอร์นิเจอร์และอื่นๆอันเกี่ยวกับการนำสินค้ามาวางขายด้วยค่าใช้จ่ายของผู้ขายเองโดยความเห็นชอบจากโจทก์ก่อนโจทก์ไม่มีเจตนาอันแท้จริงที่จะซื้อสินค้าจากผู้ขายมาขายเองไม่ว่าโจทก์จะจัดพนักงานขายสินค้านั้นเองหรือต้องให้ผู้ขายส่งพนักงานของผู้ขายมาดำเนินการขายสินค้านั้นด้วยก็เป็นเพียงข้อตกลงที่จะให้มีการขายสินค้านั้นเท่านั้นโจทก์ยังไม่มีกรรมสิทธิ์ในสินค้านั้นโจทก์จึงเป็นผู้รับจัดธุรกิจการขายให้ผู้ขายเข้าอยู่ในประเภทการค้าที่10นายหน้าและตัวแทนตามบัญชีอัตราภาษีการค้าแห่งประมวลรัษฎากร

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 5676/2539

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5676/2539

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 182, 226, 249

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา182เมื่อโจทก์ยื่นคำฟ้องและศาลรับคำฟ้องแล้วศาลย่อมนัดชี้สองสถานไปได้โดยแจ้งกำหนดวันชี้สองสถานให้คู่ความทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันเท่านั้นไม่ต้องนับจากวันที่จำเลยที่1มีสิทธิยื่นคำให้การจะทำให้คดีล่าช้าโดยไม่จำเป็นและวันนัดชี้สองสถานนั้นศาลอาจอนุญาตให้เลื่อนไปได้หากมีเหตุสมควรทั้งการนัดชี้สองสถานตั้งแต่วันที่ศาลรับคำฟ้องเช่นในคดีนี้ก็ไม่ทำให้จำเลยที่1และที่3ต้องเสียเปรียบเพราะจำเลยที่1สามารถแถลงเสนอประเด็นข้อพิพาทหรือตกลงกันกะประเด็นข้อพิพาทต่อศาลได้เมื่อศาลทำการชี้สองสถานแล้วจำเลยที่1และที่3ก็ไม่ได้โต้แย้งว่าการกำหนดประเด็นข้อพิพาทของศาลไม่ถูกต้องอย่างไรเมื่อศาลชั้นต้นแจ้งกำหนดวันชี้สองสถานให้จำเลยที่1และที่3ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสามสิบวันการกำหนดวันชี้สองสถานของศาลชั้นต้นจึงชอบแล้ว คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีและให้งดสืบพยานจำเลยที่1เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาไม่ปรากฎว่าจำเลยที่1ได้โต้แย้งไว้จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ก็ไม่ชอบถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249วรรคหนึ่งศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 5449/2539

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5449/2539

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 314 พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 116, 124, 135 (3)

แม้คำร้องที่ผู้ร้องขอให้ยกเลิกการล้มละลายของจำเลยอ้างว่าจำเลยมีทรัพย์สินที่ผู้คัดค้านที่1ได้อายัดไว้มากกว่าหนี้ของเจ้าหนี้ที่เหลือหลายเท่าตัวผู้ร้องซึ่งเป็นผู้ที่จะต้องถูกเพิกถอนการขายฝากที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งทำให้ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโอนกลับคืนเข้าไปเป็นกองทรัพย์สินของจำเลยผู้ร้องจึงเป็นผู้มีส่วนได้เสียที่จะร้องขอให้ยกเลิกการล้มละลายของจำเลยได้ก็ตามแต่เมื่อปรากฏว่าระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นผู้ร้องได้ขอวางเงินในจำนวนที่เพียงพอแก่การชำระหนี้ให้แก่เจ้าหนี้รวมทั้งค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินและศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งอนุญาตแล้วการที่ผู้ร้องซึ่งต้องเสียสิทธิในที่ดินที่ได้รับซื้อฝากเพราะศาลฎีกาได้พิพากษาให้เพิกถอนตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา116ให้กลับคืนสู่ฐานะเดิมก็เพื่อให้ที่ดินเข้ากองทรัพย์สินของจำเลยเพื่อจัดการแบ่งในระหว่าง>เจ้าหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา124หากเจ้าหนี้ทั้งหลายได้รับชำระหนี้โดยครบถ้วนแล้วผู้คัดค้านที่1ก็ไม่มีความจำเป็นต้องรวบรวมทรัพย์สินของจำเลยต่อไปตลอดจนไม่ต้องเก็บรวบรวมที่ดินของผู้ร้องที่ถูกเพิกถอนนั้นถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียด้วยในการชำระหนี้จึงชอบที่จะเข้าชำระหนี้นั้นได้แม้จะเป็นการเข้าชำระหนี้โดยขืนใจจำเลยก็ตามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา314วรรคสองเมื่อผู้ร้องเป็นผู้เข้าชำระหนี้ของจำเลยแก่เจ้าหนี้ทั้งหลายรวมทั้งค่าธรรมเนียมในการรวบรวมทรัพย์สินย่อมถือได้ว่าผู้ร้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในอันที่จะขอให้ศาลยกเลิกการล้มละลายของจำเลยเพราะเหตุที่หนี้สินของบุคคลล้มละลายได้ชำระเต็มจำนวนแล้วตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา135(3)ได้

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 5404/2539

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5404/2539

พระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ.2524 ม. 8, 37

สัญญาเช่านาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่15ครบกำหนดวันที่13กรกฎาคม2534จำเลยที่15ผู้ให้เช่ามีหนังสือบอกเลิกการเช่ามาถึงโจทก์ผู้เช่าโจทก์ได้รับหนังสือวันที่4มิถุนายน2533แต่การประชุมของคชก.จังหวัดปทุมธานีเมื่อวันที่18มีนาคม2534เพิ่งได้มีการกำหนดให้วันที่1มิถุนายนของทุกปีเป็นวันเริ่มต้นฤดูการทำนาแห่งท้องถิ่นของจังหวัดปทุมธานีซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากที่โจทก์ได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่าแล้วดังนั้นขณะที่จำเลยที่15มีหนังสือบอกเลิกการเช่าถึงเวลาโจทก์ได้รับหนังสือบอกเลิกการเช่าจึงยังไม่มีวันเริ่มต้นฤดูการทำนาแห่งท้องถิ่นที่จะใช้สำหรับนับระยะเวลาในการบอกเลิกการเช่าการที่จำเลยที่15ทำหนังสือบอกเลิกการเช่านาซึ่งโจทก์ได้รับในช่วงต้นฤดูการทำนาก่อนสิ้นระยะเวลาการเช่าเกินกว่าหนึ่งปีจึงชอบด้วยกฎหมายโจทก์จะนำวันเริ่มต้นฤดูการทำนาแห่งท้องถิ่นที่กำหนดขึ้นภายหลังมาลบล้างผลแห่งการบอกเลิกสัญญาที่เกิดขึ้นเสร็จสิ้นสมบูรณ์อยู่ก่อนแล้วให้เสียไปหาได้ไม่ ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรมพ.ศ.2524มาตรา37มิได้กำหนดให้ผู้เช่าต้องบอกรายละเอียดตามมาตรา37(1)(4)ไว้ในหนังสือบอกเลิกการเช่าหากแต่เหตุผลดังกล่าวต้องแสดงต่อคชก.ตำบลเมื่อได้ส่งหนังสือบอกเลิกการเช่ากับผู้เช่าแล้วและปรากฏว่าแม้จำเลยที่15มิได้บอกเหตุผลตามที่ระบุไว้ใน(1)-(4)ของมาตรา37ไว้ในเอกสารหมายจ.6ก็ตามแต่จำเลยที่15ก็ได้มีหนังสือถึงประธานคชก.ตำบลลำลูกกาและสำเนาหนังสือบอกเลิกการเช่านาให้ทราบแล้วซึ่งเมื่อคชก.ตำบลลำลูกกาทราบได้มีการประชุมของคชก.ตำบลลำลูกกาเมื่อวันที่22สิงหาคม2533โดยได้มีมติให้โจทก์อยู่ในที่เช่าได้ต่อไปจำเลยที่15จึงได้อุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลลำลูกกาต่อทางคชก.จังหวัดปทุมธานีเมื่อวันที่19กันยายน2533โดยได้ชี้แจงในอุทธรณ์คำวินิจฉัยของคชก.ตำบลลำลูกกาและนำสืบด้วยว่าจะใช้ที่ดินแปลงดังกล่าวเพื่อประกอบเกษตรกรรมด้วยตนเองตามความเหมาะสมจึงฟังได้ว่าการบอกเลิกการเช่าของจำเลยที่15ชอบด้วยมาตรา37แล้ว

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 5390/2539

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5390/2539

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 287

ศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน4,473,237.18บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์จำเลยทั้งสามไม่ชำระโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินของจำเลยที่2ออกขายทอดตลาดป. เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยที่2ซึ่งศาลพิพากษาให้จำเลยที่2โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินแปลงที่โจทก์นำยึดให้แก่ป. และรับเงินจำนวน5,789,303.39บาทตามสัญญาจะซื้อขายได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อนำไปชำระหนี้ให้แก่โจทก์แทนจำเลยที่2และให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดที่ดินแปลงดังกล่าวเมื่อที่ดินที่โจทก์นำยึดเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่2กับผู้ร้องผู้ร้องย่อมมีสิทธิขอกันส่วนในเงินที่ป. นำมาวางแก่เจ้าพนักงานบังคับคดีได้กึ่งหนึ่งในฐานะเจ้าของรวมสิทธิขอกันส่วนของผู้ร้องมิใช่มีแต่กรณีบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่2เท่านั้น

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 5386/2539

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5386/2539

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 83, 91, 341 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158, 195, 215, 225 พระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ.2528 ม. 30, 82

ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยจำเลยยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาได้แม้จะไม่ได้ยกขึ้นในศาลล่างทั้งสอง คำฟ้องของโจทก์ในตอนแรกที่บรรยายว่าจำเลยกับพวกร่วมกันจัดหางานให้แก่ผู้เสียหายซึ่งประสงค์จะไปทำงานให้แก่นายจ้างที่ประเทศญี่ปุ่น โดยจำเลยกับพวกเรียกและรับเงินค่าบริการเป็นค่าตอบแทนจากผู้เสียหายโดยจำเลยกับพวกมิได้รับใบอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมายส่วนคำฟ้องตอนหลังที่บรรยายว่าจำเลยกับพวกสามารถจัดส่งคนหางานไปทำงานยังประเทศญี่ปุ่นได้ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานและไม่สามารถจัดส่งคนไปทำงานตามที่ได้หลอกลวงเป็นเหตุให้ผู้เสียหายหลงเชื่อตกลงให้จำเลยกับพวกจัดหางานให้และเป็นเหตุให้จำเลยกับพวกได้ไปซื้อทรัพย์สินจากผู้เสียหายโดยโจทก์มิได้บรรยายฟ้องยืนยันว่าจำเลยกระทำผิดคราวเดียวกัน2ฐานปล่อยให้ศาลวินิจฉัยชี้ขาดจากผลการพิจารณาข้อเท็จจริงเอาเองทั้งจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหาแสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อกล่าวหาได้ดีฟ้องโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม แม้คำฟ้องตอนแรกบรรยายว่าจำเลยจัดหางานโดยเรียกรับค่าบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจัดหางานจากนายทะเบียนตามกฎหมายแต่คำฟ้องตอนหลังที่ว่าจำเลยกับพวกได้ร่วมกันหลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจำเลยกับพวกสามารถจัดส่งคนงานไปทำงานยังประเทศญี่ปุ่นได้ความจริงแล้วจำเลยกับพวกไม่สามารถจัดส่งคนไปทำงานในประเทศญี่ปุ่น ตามที่ได้หลอกลวงแต่อย่างใดเป็นการยืนยันข้อเท็จจริงว่าจำเลยไม่มีเจตนาจัดหางานการกระทำของจำเลยตามฟ้องจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ.2528มาตรา30,82

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 5376/2539

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5376/2539

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 86, 94 วรรคท้าย, 104, 177 วรรคสอง, 224 วรรคหนึ่ง

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์จำเลยให้การว่าจำเลยตกลงขายเฉพาะที่ดินให้โจทก์ไม่ได้ขายบ้านพิพาทให้ด้วยจำเลยเคยไปตรวจสอบสัญญาซื้อขายแล้วเดิมมีข้อความระบุไว้เพียงว่าขายเฉพาะที่ดินแต่ภายหลังกลับมีข้อความเพิ่มเติมขึ้นมาว่าจำเลยขายบ้านพิพาทด้วยศาลชั้นต้นสอบถามโจทก์จำเลยแล้วต่างแถลงรับตรงกันว่าวันทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทบ้านพิพาทได้ปลูกสร้างอยู่ในที่ดินพิพาทแล้วและนอกจากทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทแล้วทั้งสองฝ่ายไม่ได้ตกลงเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อขายบ้านพิพาทอีกดังนี้คำแถลงรับของคู่ความดังกล่าวเมื่อพิจารณาประกอบกับสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทที่มีการระบุว่าขายบ้านพิพาทด้วยก็แสดงว่ามีการเพิ่มเติมข้อความส่วนนี้เข้าไปในสัญญาดังกล่าวตามข้อต่อสู้ของจำเลยซึ่งเท่ากับจำเลยต่อสู้ว่ามีการปลอมข้อความของสัญญาขึ้นบางส่วนนั่นเองจำเลยย่อมมีสิทธิจะนำพยานบุคคลมาสืบหักล้างได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา94วรรคท้ายข้ออ้างตามคำฟ้องของโจทก์กับข้อต่อสู้ตามคำให้การของจำเลยจำเป็นต้องฟังข้อเท็จจริงให้แน่ชัดต่อไปแม้ว่าศาลชั้นต้นได้สอบถามคู่ความแล้วก็ตามจึงไม่ชอบที่ศาลชั้นต้นจะสั่งงดสืบพยานโจทก์พยานจำเลยและพิพากษาขับไล่จำเลยตามฟ้องโจทก์ได้

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 5253/2539

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5253/2539

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5), 208 (2), 225 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 19 พระราชบัญญัติทางหลวง พ.ศ.2535 ม. 61 วรรคหนึ่ง, 73

โจทก์ฟ้องด้วยวาจาซึ่งตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวงพ.ศ.2499มาตรา19ให้ศาลบันทึกข้อความแห่งฟ้องไว้เป็นหลักฐานหาจำต้องบันทึกไว้โดยละเอียดไม่และก่อนศาลบันทึกฟ้องดังกล่าวศาลอาจจะสอบถามโจทก์เกี่ยวกับข้อเท็จจริงต่างๆที่จำเลยกระทำความผิดได้แต่ก็จะบันทึกไว้เฉพาะข้อความสำคัญส่วนบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของฟ้องด้วยวาจาของโจทก์เท่านั้น ข้อความที่ศาลบันทึกการฟ้องด้วยวาจาของโจทก์ประกอบกับบันทึกการฟ้องด้วยวาจาที่โจทก์ส่งต่อศาลได้ความว่าจำเลยขับรถยนต์บรรทุกมีน้ำหนักเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดบนทางหลวงอันเป็นความผิดทั้งได้ระบุสถานที่ที่เกี่ยวข้องพอสมควรที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้และจำเลยก็ให้การรับสารภาพตามฟ้องแสดงว่าจำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีหาจำต้องระบุข้อเท็จจริงว่าเป็นทางหลวงสายใดไม่คำฟ้องของโจทก์จึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา158(5) จำเลยมีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นจำเลยอุทธรณ์ขอให้รอการลงโทษซึ่งศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยในปัญหานี้ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหานี้ไปเสียทีเดียว

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 9722/2539

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9722/2539

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 747, 750 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 289, 312

เงินที่จำเลยฝากตกเป็นของธนาคารผู้ร้องซึ่งเป็นผู้รับฝากแล้ว ผู้ร้องคงมีหน้าที่แต่คืนเงินให้ครบจำนวนเท่านั้น การที่จำเลยตกลง มอบเงินฝากพร้อมสมุดบัญชีฝากประจำไว้แก่ผู้ร้องโดยใช้ข้อความว่าเป็นการจำนำก็เพียงเพื่อประกันหนี้ที่จำเลยจะพึงมีต่อผู้ร้อง แม้จะตกลงยินยอมให้ผู้ร้องนำเงินจากบัญชีดังกล่าวมาชำระหนี้โดยไม่ต้องบอกกล่าวหาทำให้ตัวเงินตามจำนวนในบัญชีเงินฝากยังเป็นของจำเลยอันผู้ร้องจะยึดไว้เป็นประกันการชำระหนี้ไม่ และโดยสภาพแล้วสิทธิการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากย่อมไม่อาจส่งมอบแก่กันได้อย่างสิทธิซึ่งมีตราสาร ความตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการจำนำเงินฝากตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 747 และการที่จำเลยมอบใบรับฝากประจำให้ผู้ร้องยึดถือไว้เป็นประกันหนี้ของจำเลยก็มิใช่เป็นการจำนำสิทธิซึ่งมีตราสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 750 ผู้ร้องจึงไม่ใช่เจ้าหนี้ บุริมสิทธิจากการจำนำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 289

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 9186/2539

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9186/2539

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 164 เดิม, 572

โจทก์ฟ้องเรียกราคารถส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญาเช่าซื้อซึ่งไม่ใช่ค่าเสียหายจากการที่จำเลยไม่สงวนรักษาทรัพย์สินที่เช่าซื้อจนเป็นเหตุให้ชำรุดบุบสลายอันจะต้องนำอายุความ6 เดือน ในลักษณะเช่าทรัพย์มาใช้บังคับ ส่วนค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถก็เป็นค่าเสียหายที่โจทก์ไม่ได้ใช้รถระหว่างที่จำเลยปฏิบัติผิดสัญญาและภายหลังสัญญาเช่าซื้อเลิกกันแล้วก่อนที่จะยึดรถคืนมาได้ มิใช่ฟ้องเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระและสำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตามยึดรถคืนเป็นค่าเสียหายที่จำเลยจะต้องรับผิดชดใช้ให้แก่โจทก์เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกันและไม่ส่งมอบรถคืน การฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวข้างต้นล้วนมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 เดิม

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
หน้า จาก 159
แสดงรายการ 1 - 10 จากทั้งหมด 1582 รายการ