คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2539
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6160/2539
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 91
ในการยื่นคำขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์แต่ละคันผู้ขอต้องยื่นแบบเรื่องราวขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์พร้อมเอกสารต่าง ๆ ให้เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจคำขอและเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจอนุญาตพิจารณาแบบเรื่องราวสำหรับรถยนต์แต่ละคันแยกกันต่างหากเป็นราย ๆ ไป แม้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ผู้ตรวจสอบหลักฐานได้พิจารณาคำขอพร้อมเอกสารต่าง ๆสำหรับรถยนต์แต่ละคันว่าหลักฐานเกี่ยวกับตัวรถยนต์ถูกต้องตรงกันกับเอกสารหรือไม่ ในเวลาต่อเนื่องกันก็กระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงเป็นความผิดหลายกระทงตามจำนวนเรื่องราวขอจดทะเบียนและต่อทะเบียนรถยนต์แต่ละคัน มิใช่เป็นการกระทำกรรมเดียวกันในแต่ละวัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6146/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 172 วรรคสอง
โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินพิพาทจำเลยได้ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวกับบิดาโจทก์โดยกำหนดเวลาการเช่าตั้งแต่วันที่1มกราคม2527ถึงวันที่31ธันวาคม2529เมื่อครบกำหนดเวลาตามสัญญาเช่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยอยู่ต่อไปจึงบอกกล่าวให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่เช่าแต่จำเลยเพิกเฉยทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายคำฟ้องของโจทก์ดังกล่าวเพียงพอทำให้จำเลยเข้าใจถึงมูลเหตุการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากการกระทำของจำเลยเนื่องจากการผิดสัญญาของจำเลยที่จำเลยได้ทำให้ไว้กับบิดาโจทก์ได้อย่างชัดแจ้งแล้วส่วนข้อเท็จจริงที่ว่าโจทก์ได้ที่ดินมาอย่างไรตั้งแต่เมื่อใดนั้นเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยที่โจทก์นำสืบในชั้นพิจารณาได้ส่วนที่จำเลยอ้างว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมในข้อที่ว่าสิทธิของโจทก์มีหรือไม่ตามคำฟ้องจำเลยไม่อาจทราบได้จำเลยทำสัญญาเช่าที่ดินกับบิดาโจทก์เป็นเรื่องคู่สัญญาเช่าคนละคนกันจำเลยมิใช่คู่สัญญากับโจทก์การที่โจทก์มิได้บรรยายสิทธิของตนมาให้ครบถ้วนจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องนั้นเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นแม้ศาลอุทธรณ์จะรวมวินิจฉัยให้ก็เป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นพิพาทว่าฟ้องแย้งของจำเลยเคลือบคลุมหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นกล่าวถึงความผูกพันระหว่างคู่สัญญาและผลของสัญญาเช่าระหว่างบิดาจำเลยกับบิดาโจทก์ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำให้การของจำเลยที่ยกขึ้นอ้างต่อสู้คำฟ้องของโจทก์ก็เพื่อนำไปสู่ข้อวินิจฉัยข้ออ้างของจำเลยตามฟ้องแย้งดังนั้นเมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่ได้ยกข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาว่าเหตุใดโจทก์จึงต้องผูกพันตามสัญญาเช่าที่บิดาจำเลยทำกับบิดาโจทก์เพื่อบังคับให้โจทก์ต้องปฏิบัติตามสัญญาอย่างไรเช่นนี้เท่ากับฟ้องแย้งของจำเลยมิได้บรรยายข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาจึงเป็นฟ้องแย้งที่เคลือบคลุมศาลชั้นต้นจึงชอบที่จะหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยหาใช่ไม่ตรงประเด็นที่กำหนดไว้ไม่ ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าบิดาโจทก์และบิดาจำเลยได้ทำสัญญาต่างตอบแทนยิ่งกว่าการเช่าธรรมดาเกี่ยวกับที่ดินพิพาทเมื่อบิดาจำเลยตามสิทธิการเช่าดังกล่าวเป็นมรดกตกทอดแก่จำเลยจำเลยจึงย่อมมีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทจนกว่าจะครบสัญญานั้นเป็นปัญหาคำขอบังคับตามฟ้องแย้งของจำเลยเมื่อฟ้องแย้งของจำเลยไม่มีข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเป็นฟ้องไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา172วรรคสองแล้วปัญหาข้อนี้จึงตกไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6132/2539
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 328
จำเลยมีภาระต้องทำงานชดใช้หนี้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาต่อภายในประเทศเป็นเวลา5ปี10เดือน24วันคิดเป็นเงินที่ต้องชดใช้จำนวน160,089.99บาทและต้องทำงานชดใช้หนี้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาหรือฝึกอบรมณต่างประเทศเป็นเวลา1ปี6เดือน2วันคิดเป็นเงินที่ต้องชดใช้จำนวน556,199.90บาทซึ่งในการพิจารณาว่าหนี้รายใดจะตกหนักที่สุดแก่จำเลยนั้นจะต้องพิจารณาจากภาระที่จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นประเด็นสำคัญแม้ระยะเวลาทำงานชดใช้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาต่อภายในประเทศยาวนานกว่าก็ตามแต่กรณีได้ผ่านพ้นระยะเวลาที่จะต้องทำงานชดใช้ไปแล้วเนื่องจากโจทก์อนุญาตให้จำเลยลาออกจากราชการจำเลยจึงมีหน้าที่เพียงชดใช้เงินให้แก่โจทก์เท่านั้นดังนั้นจึงต้องพิจารณาจากจำนวนเงินที่จำเลยจะต้องชดใช้ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยดังนั้นหนี้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาหรืออบรมณต่างประเทศจึงเป็นรายที่ตกหนักที่สุดแก่จำเลยจึงต้องให้หนี้ตามสัญญาดังกล่าวได้เปลื้องไปก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา328โดยนำเวลาที่จำเลยกลับเข้าทำงานชดใช้เป็นเวลา3ปี1เดือน24วันไปชดใช้เวลาที่จำเลยต้องทำงานชดใช้จำนวน1ปี6เดือน2วันก่อนซึ่งยังเหลือเวลาที่จำเลยทำงานชดใช้ไว้อีก1ปี7เดือน22วันและถือว่าจำเลยได้ทำงานชดใช้ตามสัญญาข้าราชการไปศึกษาหรือฝึกอบรมณต่างประเทศครบตามสัญญาแล้วจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามสัญญาดังกล่าวอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 259/2539
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 861, 877 วรรคท้าย
ตามกรมธรรม์ประกันภัยระบุให้จำเลยที่4รับผิดในอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นไม่เกินจำนวน500,000บาทต่ออุบัติเหตุ1ครั้งแต่ในมูลคดีเดียวกันนี้จำเลยที่4ถูกองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยฟ้องเรียกค่าเสียหายศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดต่อองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยเป็นเงิน144,580.48บาทซึ่งจำเลยที่2ในคดีดังกล่าวคือจำเลยที่4คดีนี้จำเลยที่4ได้ชำระเงิน195,183บาทไปแล้วเมื่อรวมกับความรับผิดของจำเลยทั้งสองที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในคดีนี้จำนวน2,620,210.80บาทรวมยอดความรับผิดทั้งสิ้น2,764,791.28บาทจึงเกินวงเงินที่จำเลยที่4จะต้องรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยที่จำกัดความรับผิดไว้เพียง500,000บาทดังนั้นจำเลยที่4จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์คดีนี้เฉลี่ยตามส่วนที่ได้รับความเสียหายโดยต้องรับผิดเพียง473,853.27บาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6070/2539
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 331
การที่จำเลยนำเงินค่าเช่าไปวางไว้ ณ สำนักงานวางทรัพย์โดยกำหนดเงื่อนไขในการรับเงินว่าต้องเป็นเจ้าหนี้ที่มีคำสั่งศาลถึงที่สุดมาแสดงนั้น ก็เพื่อประโยชน์แก่โจทก์ทั้งสองหรือบริษัท อ. เจ้าหนี้ผู้มีสิทธิให้เช่าอันแท้จริงซึ่งจำเลยไม่อาจหยั่งรู้ได้แน่นอน การวางเงินของจำเลยจึงมีเหตุผลโดยชอบและมิใช่ความผิดของจำเลยจำเลยมีสิทธิที่จะวางทรัพย์ชำระเงินค่าเช่าได้อันเป็นผลให้จำเลยหลุดพ้นจากหนี้ค่าเช่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6066/2539
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 150 พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 ม. 22, 24, 27, 91, 94
หนี้ที่เกิดขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดแล้วเจ้าหนี้ไม่อาจนำมายื่นคำขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา27,91และ94 เมื่อศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยแล้วพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา24บัญญัติห้ามมิให้จำเลยกระทำการใดๆเกี่ยวกับทรัพย์สินหรือกิจการของตนเว้นแต่จะได้กระทำตามคำสั่งหรือความเห็นชอบของศาลเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ผู้จัดการทรัพย์หรือที่ประชุมเจ้าหนี้การที่จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้โจทก์เพื่อชำระค่าเบี้ยประกันภัยในระหว่างจำเลยถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ในคดีล้มละลายจึงเท่ากับเป็นการกระทำเกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยซึ่งจำเลยไม่มีอำนาจที่จะกระทำได้ตามบทบัญญัติดังกล่าวการกระทำของจำเลยเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติ ล้มละลายพ.ศ.2483ซึ่งเป็นกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนเช็คพิพาททั้งสองฉบับที่จำเลยสั่งจ่ายชำระให้โจทก์จึงเป็นโมฆะโจทก์ไม่มีสิทธินำเช็คพิพาททั้งสองฉบับมาฟ้องจำเลยให้รับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5985/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 425, 443, 1563
จำเลยที่ 3 หย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากับจำเลยที่ 2แล้ว แต่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เบิกความรับว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้รถยนต์บรรทุกคันเกิดเหตุมาระหว่างสมรส ซึ่งแม้มีชื่อจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของในทะเบียนแต่ไม่ได้นำสืบว่าเป็นสินส่วนตัวหรือเป็นสินสมรสต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรสเมื่อจำเลยที่ 2เป็นผู้ติดต่อหาคนขับรถและดูแลกิจการโดยทั่วไป บางครั้งได้ให้จำเลยที่ 3 ช่วยดูแลบ้าง รายได้จากการรับจ้างก็แบ่งให้จำเลยที่ 3 เพื่อใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยที่ 2 ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 3ไปเจรจาเรื่องค่าเสียหายกับฝ่ายโจทก์ แสดงว่าจำเลยที่ 2และที่ 3 ยังคงทำกิจการร่วมกันจำเลยที่ 3 จึงเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 ด้วย จึงต้องร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดในผลแห่งละเมิดที่จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างโดยประมาทเลินเล่อเฉี่ยวชน ส. ซึ่งเป็นบุตรของโจทก์ทั้งสองจนถึงแก่ความตายด้วย ค่าใช้จ่ายในงานศพ เช่น ค่าดอกไม้ ค่าบุหรี่ถวายพระถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นอย่างอื่นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรคหนึ่งส่วนเงินที่มีผู้ช่วยทำศพผู้ตายมากน้อยเพียงใดก็นำมาบรรเทาความรับผิดของจำเลยไม่ได้ และเนื่องจากบุตรจำต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา การที่ผู้ตายตายลงทำให้บิดามารดาต้องขาดไร้อุปการะ จึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนโดยไม่จำต้องพิจารณาว่าปัจจุบันผู้ตายจะได้ อุปการะเลี้ยงดูอยู่หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5983/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 23
การประปาส่วนภูมิภาคโจทก์เป็นรัฐวิสาหกิจอันเป็นหน่วยงานของ รัฐบาล มีระเบียบในการเบิกจ่ายเงินไม่เหมือนหน่วยงานของเอกชน และเมื่อเบิกจ่ายแล้วต้องจัดส่งมายังสำนักงานอัยการสูงสุดซึ่งทำหน้าที่เป็นทนายความย่อมมีความล่าช้าอยู่บ้าง ถือได้ว่าเป็นพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาชำระเงินค่าธรรมเนียมในการยื่นอุทธรณ์ตามคำร้องของโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4599/2539
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 887 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 225 วรรคหนึ่ง, 249 วรรคหนึ่ง
การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมายล.3ว่าจำเลยที่3ผู้รับประกันภัยไม่อาจนำข้อยกเว้นในเรื่องความไม่สมบูรณ์ของผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่3รับประกันภัยมาเป็นเงื่อนไขเพื่อปัดความรับผิดได้จำเลยที่3จึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยจึงเป็นการวินิจฉัยแปลความหมายเงื่อนไขตามกรมธรรม์ประกันภัยหมายล.3อันเป็นการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของโจทก์และมิใช่การวินิจฉัยรับฟังข้อเท็จจริงใหม่ตามที่จำเลยที่3ฎีกา ตามกรมธรรม์ประกันภัยมีข้อยกเว้นความรับผิดของผู้รับประกันภัยตามข้อ2.13.6ว่าการประกันภัยตามข้อ2.3ไม่คุ้มครองความรับผิดอันเกิดจากการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับอนุญาตขับรถยนต์ใดๆหรือเคยได้รับแต่ขาดต่ออายุเกินกว่า180วันหรือเคยได้รับแต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมายในการขับรถยนต์ในเวลาเกิดอุบัติเหตุดังนี้ความรับผิดของจำเลยที่3จึงต้องเป็นไปตามกรมธรรม์ประกันภัยและข้อยกเว้นความรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าขณะเกิดเหตุจำเลยที่1ผู้ขับรถยนต์คันที่จำเลยที่3รับประกันภัยเป็นผู้ไม่ได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์ใดๆกรณีจึงเข้าข้อยกเว้นที่จำเลยที่3ผู้รับประกันภัยไม่ต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกในเหตุคดีนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6065/2539
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 86, 177
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายหนังสือชนิดต่างๆให้แก่ผู้พิมพ์หนังสือที่ไม่สามารถจัดส่งหนังสือไปจำหน่ายเองได้และโจทก์เป็นผู้แทนจัดจำหน่ายหนังสือให้แก่จำเลยโดยโจทก์ยินยอมให้จำเลยเบิกเงินค่าหนังสือที่ขอให้โจทก์จัดจำหน่ายไปก่อนล่วงหน้าบางส่วนได้แล้วจึงนำมาหักกลบลบกับจำนวนเงินที่ได้จากการขายหนังสือของจำเลยโจทก์คิดบัญชีเมื่อวันที่18พฤษภาคม2530แล้วยังมีเงินที่จำเลยเบิกจากโจทก์ไปล่วงหน้าซึ่งต้องคืนโจทก์อยู่จำนวนหนึ่งคำให้การของจำเลยที่ให้การปฏิเสธในเรื่องจำนวนเงินที่ต้องชำระคืนแก่โจทก์ว่าไม่ถูกต้องนั้นจำเลยให้การลอยๆเพียงว่าไม่ถูกต้องเพราะโจทก์รวมเอาหนังสือบางเล่มที่เกิดการชำรุดฉีกขาดหรือเปียกน้ำในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์เข้าด้วยและถือว่าเป็นหนังสือที่คืนแก่จำเลยแล้วโดยมิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงให้ชัดแจ้งว่าหนังสือรายการใดที่ชำรุดฉีกขาดหรือเปียกน้ำและมีเป็นจำนวนเท่าใดคิดเป็นเงินเท่าใดที่จะต้องหักออกจากรายการในช่องมูลค่าหนังสือที่รับคืนไปตามเอกสารท้ายฟ้องทั้งที่โจทก์ได้แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับรายการจัดจำหน่ายหนังสือให้แก่จำเลยในช่วงระหว่างเดือนพฤษภาคม2527ถึงวันที่14พฤษภาคม2530มาอย่างละเอียดในเอกสารท้ายฟ้องแล้วซึ่งจำเลยสามารถให้การโต้แย้งรายการเหล่านั้นแต่ละรายการว่าไม่ถูกต้องอย่างไรได้โดยง่ายแต่จำเลยกลับให้การเพียงว่ามีรายการหนังสือเปียกน้ำที่ต้องหักออกคำให้การจำเลยในเรื่องหนังสือที่เปียกน้ำจึงไม่ชัดแจ้งไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา177วรรคสองจำเลยจึงไม่มีสิทธินำพยานหลักฐานเข้านำสืบตามข้อต่อสู้นั้น