คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567

ค้นหาธรรมดา

ค้นหาคำพิพากษาฎีกาอย่างรวดเร็ว

เคล็ดลับการค้นหา: ใช้ตัวกรองเพื่อค้นหาให้แม่นยำขึ้น

พบ 324 รายการ (33 หน้า)

ฎีกาที่ 465/2567

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 465/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 พระราชบัญญัติการค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2543 ม. 7 พระราชกำหนดแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ.2516 ม. 3

พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 มาตรา 3 บัญญัติว่า "เพื่อประโยชน์ในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง นายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งเพื่อกำหนดมาตรการเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ (1) การผลิต การจำหน่าย การขนส่ง การมีไว้ในครอบครอง การสำรองและการส่งออกนอกราชอาณาจักรและการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งน้ำมันเชื้อเพลิงทุกชนิด…" ต่อมานายกรัฐมนตรีออกคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 เรื่อง กำหนดมาตรการเพื่อแก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งข้อ 9/1 กำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันตามมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.การค้าน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2543 ที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนตามปริมาณก๊าซที่จำหน่ายในอัตราที่คณะกรรมการประกาศกำหนด การออกคำสั่งของนายกรัฐมนตรีตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 อาศัยอำนาจตามมาตรา 3 (1) แห่ง พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกได้ทวีสูงขึ้นและน้ำมันดิบที่จะหาซื้อมีปริมาณลดลงอันจะก่อให้เกิดภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศไทย การจัดตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงและการให้ผู้ค้าน้ำมันที่จำหน่ายก๊าซมีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีดังกล่าวก็เป็นส่วนหนึ่งของการกระทำเพื่อแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิงโดยอาศัยมาตรา 3 แห่ง พ.ร.ก.แก้ไขและป้องกันภาวะการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง พ.ศ. 2516 แม้มาตรานี้จะมิได้บัญญัติไว้โดยตรงให้นายกรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งให้จัดเก็บหรือตั้งกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงก็ตาม แต่คำสั่งของนายกรัฐมนตรีสอดคล้องกับบทบัญญัติและเจตนารมณ์ของกฎหมายในการแก้ไขและป้องกันการขาดแคลนน้ำมันเชื้อเพลิง จึงถือว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งดังกล่าวได้ ทั้งปัญหาว่านายกรัฐมนตรีมีอำนาจออกคำสั่งได้หรือไม่นั้น เป็นข้อกฎหมายซึ่งไม่อาจนำความเห็นของบุคคลหนึ่งบุคคลใดมายืนยันได้ แม้จะได้ความตามทางนำสืบของจำเลยเกี่ยวกับผลการพิจารณาของผู้ตรวจการแผ่นดิน ครั้งที่ 22/2556 ว่า คำสั่งของนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ออกโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการออกคำสั่งเพื่อให้เรียกเก็บเงินและจ่ายเงินชดเชยหรือจ่ายเงินคืนจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ และจำเลยได้ยื่นฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุดขอให้เพิกถอนคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และคำสั่งแก้ไขเพิ่มเติมที่ 4/2554 และกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่งหรือนิติกรรมทางปกครองที่เกี่ยวเนื่องกับคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว รวมทั้งขอให้เพิกถอนอำนาจในการบริหารกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของโจทก์ที่ 1 เป็นคดีของศาลปกครองสูงสุดก็ตาม แต่เมื่อศาลปกครองสูงสุดยังมิได้มีคำวินิจฉัยในประเด็นดังกล่าว กรณีจึงยังต้องถือว่า คำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยในฐานะผู้ค้าน้ำมันจึงมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีจนกว่าคำสั่งดังกล่าวจะถูกยกเลิก ที่จำเลยอ้างว่าคำสั่งที่ให้ส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันมิใช่บริการสาธารณะจึงเป็นการนอกวัตถุประสงค์ และการไม่นำส่งเงินดังกล่าวเข้าคลังก่อนเป็นการมิชอบ เพื่อปฏิเสธอำนาจฟ้องของโจทก์ทั้งสองนั้น เหตุแห่งการปฏิเสธความรับผิดของจำเลยดังกล่าวเป็นคนละส่วนกับการที่จำเลยมีหน้าที่ต้องส่งเงินเข้ากองทุนน้ำมันตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรี เมื่อจำเลยเป็นผู้ค้ำน้ำมันซึ่งได้รับเงินชดเชยจากกองทุนน้ำมันมาก่อน จำเลยจะปฏิเสธความรับผิดโดยอ้างว่าเป็นการนอกวัตถุประสงค์หาได้ไม่ ส่วนโจทก์ทั้งสองต้องนำส่งเงินที่ได้รับมาเข้าคลังก่อนหรือไม่นั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างกระทรวงการคลังกับโจทก์ทั้งสองที่ต้องดำเนินการต่อไป และที่จำเลยอ้างว่าตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 กฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการกรมธุรกิจพลังงาน พ.ศ. 2556 กับคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 และ 4/2554 ไม่มีข้อกำหนดให้โจทก์ที่ 2 มีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากผู้ค้าน้ำมันนั้น ตามคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2547 ข้อ 26 (2) ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งนายกรัฐมนตรีที่ 4/2554 กำหนดว่า ในกรณีที่กรมธุรกิจพลังงาน (โจทก์ที่ 2) ตรวจพบว่ามีผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนไม่ส่งเงินเข้ากองทุนหรือส่งเงินเข้ากองทุนไม่ครบตามจำนวนที่ต้องส่ง ให้โจทก์ที่ 2 แจ้งเป็นหนังสือให้ผู้มีหน้าที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเงินตามจำนวนที่ต้องส่งหรือตามจำนวนที่ขาด โจทก์ที่ 2 จึงมีอำนาจหน้าที่ในการเรียกเก็บเงินจากจำเลยโดยอาศัยคำสั่งนายกรัฐมนตรีดังกล่าว เมื่อจำเลยไม่ส่งเงินเข้ากองทุนตามที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากโจทก์ที่ 2 จึงเป็นการโต้แย้งสิทธิของโจทก์ทั้งสองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลย

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 125/2567

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 125/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 227 วรรคสอง พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ม. 110 (1) พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ.2539 ม. 40 วรรคสอง

การกระทำที่จะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 110 (1) ผู้กระทำต้องรู้ว่าสินค้าที่ตนนำเข้ามาในราชอาณาจักร จำหน่าย เสนอจำหน่าย หรือมีไว้เพื่อจำหน่าย เป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมหรือเลียนเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่นที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร โจทก์จึงมีหน้าที่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยรู้ว่าสินค้าของกลางที่จำเลยเสนอจำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร แต่เมื่อพิจารณาพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบคงได้ความเพียงว่า ตามวันและเวลาเกิดเหตุในฟ้อง พันตำรวจตรี ช. ได้รับแจ้งจาก บ. ผู้รับมอบอำนาจช่วงผู้เสียหายว่า ที่ร้าน ว. มีการนำสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักรมาเสนอจำหน่ายแก่ประชาชนทั่วไป พันตำรวจตรี ช. และ บ. กับพวก จึงนำหมายค้นของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางเข้าตรวจค้นที่ร้านดังกล่าว พบว่าจำเลยเสนอจำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายซึ่งสินค้าของกลางที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร จึงจับกุมจำเลยและยึดของกลางส่งพนักงานสอบสวน แต่ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงจากทางนำสืบของโจทก์เลยว่า จำเลยรู้ว่าสินค้าของกลางเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร กลับได้ความจาก บ. ผู้รับมอบอำนาจช่วงผู้เสียหายให้การว่า สินค้าของผู้เสียหายยังไม่มีการจำหน่ายในประเทศไทย คงมีจำหน่ายเฉพาะที่ประเทศสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นเท่านั้น โดยผู้เสียหายยังไม่ได้มอบหมายให้ตัวแทนรายใดเป็นตัวแทนในการจำหน่ายสินค้าในประเทศไทย อันแสดงได้ว่าเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายยังไม่ได้เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย ซึ่งในส่วนนี้จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า เครื่องหมายที่ติดบนสินค้าของกลางเป็นสัญลักษณ์ไม้กางเขน จำเลยเชื่อโดยสุจริตว่าเป็นเครื่องหมายที่บุคคลใดก็สามารถนำไปใช้ได้ สอดคล้องกับที่จำเลยให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวนโดยอ้างว่า จำเลยซื้อสินค้าของกลางมาเพื่อขายต่อ โดยไม่ทราบว่าเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น และจำเลยยังมีบาทหลวง ท. เจ้าอาวาสวัด น. เป็นพยานเบิกความว่า เครื่องหมายการค้าตามฟ้องเป็นรูปกางเขนของศาสนาคริสต์ โดยโจทก์ไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น ดังนั้น เมื่อจำเลยไม่ได้เป็นผู้ทำปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าด้วยตนเอง และการที่เครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายยังไม่ได้เป็นที่แพร่หลายในประเทศไทย ประกอบกับการที่เครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายมีลักษณะใกล้เคียงกับไม้กางเขนในศาสนาคริสต์ แม้เครื่องหมายการค้าของโจทก์จะได้รับการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าแล้ว ก็อาจเป็นไปได้ที่ประชาชนหรือผู้ขายสินค้าทั่วไปจะไม่รู้จักเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหาย และอาจเข้าใจได้ว่าเครื่องหมายการค้าที่ปรากฏบนสินค้าของกลางเป็นไม้กางเขนในศาสนาคริสต์ซึ่งบุคคลทั่วไปสามารถใช้ได้ พยานหลักฐานโจทก์เท่าที่นำสืบมายังมีความสงสัยตามสมควรว่า จำเลยรู้หรือไม่ว่าสินค้าของกลางที่จำเลยเสนอจำหน่ายและมีไว้เพื่อจำหน่ายเป็นสินค้าที่มีเครื่องหมายการค้าปลอมและเลียนเครื่องหมายการค้าของผู้เสียหายที่ได้จดทะเบียนแล้วในราชอาณาจักร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลยตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 มาตรา 40 วรรคสอง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 8200/2567

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8200/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 260 (2)

คำพิพากษาอันถึงที่สุดให้จำเลยดำเนินการยื่นคำขอต่อเจ้าพนักงานที่ดินเพื่อแก้ไข เพิกถอนคำขอออกใบแทนโฉนดที่ดิน และยื่นคำขอเพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้กลับคืนสู่สถานะเดิม หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย อันเป็นกรณีที่ให้จำเลยกระทำการ และศาลกำหนดไว้ว่าหากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย การบังคับคดีอาจทำได้โดยไม่ต้องตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี เมื่อโจทก์ยื่นหนังสือต่อเจ้าพนักงานที่ดินแจ้งให้เพิกถอนการออกใบแทนโฉนดที่ดิน และยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนโฉนดที่ดินฉบับใบแทน จึงเป็นกรณีที่โจทก์ได้ดำเนินการบังคับคดีให้เป็นไปตามผลแห่งคำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้ว เจ้าพนักงานที่ดินย่อมมีอำนาจและหน้าที่ตามกฎหมายดำเนินการให้เป็นไปตามคำพิพากษาต่อไป คำสั่งของศาลเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวให้เจ้าพนักงานที่ดินระงับการจดทะเบียน แก้ไขเปลี่ยนแปลงทางทะเบียนในที่ดิน จึงไม่จำต้องคงมีอยู่ต่อไป

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 8082/2567

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8082/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (11), 130, 131

ป.วิ.อ. มาตรา 2 (11) "การสอบสวน" หมายความถึงการรวบรวมพยานหลักฐานและการดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ ซึ่งกฎหมายไม่ได้บัญญัติบังคับว่าพนักงานสอบสวนต้องทำอย่างไรหรือต้องระบุรายละเอียดอย่างไรหรือต้องสอบปากคำบุคคลใดบ้างเป็นพยาน กฎหมายให้เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวนให้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหาเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อจะหาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษเท่านั้น

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 8040/2567

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8040/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 377

การกระทำอันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 377 ต้องได้ความว่า ผู้กระทำความผิดต้องเป็นผู้ควบคุมสัตว์ดุหรือสัตว์ร้ายแล้วปล่อยปละละเลยให้สัตว์นั้นเที่ยวไปโดยลำพังในประการที่อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ ซึ่งการควบคุมสัตว์ดุหรือสัตว์ร้ายมีวิธีการควบคุมที่แตกต่างกันไปตามสภาพและประเภทของสัตว์ สำหรับสุนัขแม้เป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์แต่ก็อาจมีนิสัยดุร้ายได้โดยธรรมชาติ เนื่องจากสุนัขเลี้ยงมีต้นกำเนิดมาจากสุนัขป่าจึงยังคงมีสัญชาตญาณดิบในการเป็นนักล่าและนักต่อสู้อยู่ในตัวทำให้บางครั้งสุนัขมีพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรง การจะควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงของสุนัขได้นั้น ผู้ควบคุมจึงต้องอยู่ใกล้ชิดตัวสุนัขจนสามารถควบคุมสิ่งที่มากระตุ้นพฤติกรรมของสุนัข ช่วยลดทอนความก้าวร้าวของสุนัข และแยกสุนัขออกจากเหยื่อ ไม่ว่าด้วยการใช้แรงกายหรืออุปกรณ์ในการบังคับตัวสุนัข การออกคำสั่ง หรือการลงโทษ ดังนั้น ผู้ควบคุมสัตว์ดุตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 377 ต้องถือตามความเป็นจริง โดยผู้ควบคุมต้องอยู่ในสถานะที่สามารถควบคุมสุนัขได้ในขณะสุนัขออกเที่ยวไปแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงในประการที่อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล จึงมอบหมายให้ ส. เลี้ยงและดูแลสุนัขของจำเลยแทน แม้จำเลยเพียงแต่ฝากให้ ส. เลี้ยงดูสุนัขเป็นการชั่วคราวโดยมิได้กำชับให้ ส. ใช้ความระมัดระวังในการควบคุมดูแลสุนัขไม่ให้ไปสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่นก็ตาม ก็ถือเป็นความบกพร่องในฐานะที่จำเลยเป็นเจ้าของสุนัขเท่านั้น แต่ในฐานะผู้ควบคุมสุนัขแล้ว จำเลยไม่ได้อยู่ใกล้ชิดตัวสุนัขของจำเลยจนสามารถใช้แรงกายหรืออุปกรณ์ในการบังคับตัวสุนัข ออกคำสั่ง หรือลงโทษสุนัขเพื่อป้องกันหรือห้ามปรามมิให้สุนัขเที่ยวไปแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงกัดแกะของผู้เสียหายจนถึงแก่ความตายได้ จำเลยจึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ควบคุมสัตว์ในขณะเกิดเหตุ การกระทำของจำเลยตามฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 377 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องในความผิดฐานนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 7504/2567

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7504/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177, 225 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 7, 26

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 จำเลยให้การว่าเคยกู้ยืมเงินโจทก์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 และเดือนกรกฎาคม 2556 แต่ชำระหนี้โจทก์หมดสิ้นแล้วนั้น แม้การยื่นคำให้การในคดีผู้บริโภคจะไม่เคร่งครัดเพราะตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 บัญญัติว่า ในกรณีที่จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ หากศาลเห็นว่าคำให้การดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้จำเลยแก้ไขคำให้การในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้เท่านั้น แต่การจะให้การรับหรือปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ส่วนไหนอย่างไรย่อมเป็นเจตนาอิสระของคู่ความ หาใช่หน้าที่ของศาลที่จะต้องทวงถามให้จำเลยให้การในส่วนนี้ไม่ ทั้งมิใช่กรณีคำให้การไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญ เมื่อจำเลยไม่ปฏิเสธการกู้ยืมเงินตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 จึงถือว่าจำเลยยอมรับว่าได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้ดังกล่าวในฟ้องแล้ว แม้จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณาว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินและไม่ได้รับเงินกู้ตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 แต่เป็นการที่โจทก์นำมูลหนี้กู้ยืมที่ระงับแล้วมาฟ้องเป็นคดีนี้ ก็เป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ต่อสู้ในคำให้การ ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างมาในชั้นอุทธรณ์ว่า โจทก์นำยอดเงินในสัญญากู้ฉบับก่อนมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวชอบแล้ว

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 7212/2567

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7212/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 264, 268 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 216 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ม. 17, 25 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 4, 22, 22 ทวิ

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 264, 268 ซึ่งแต่ละฐานความผิดมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นที่เป็นศาลแขวง ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ทวิ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์โจทก์เพราะเหตุดังกล่าว โจทก์ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาไม่ชอบอย่างไร แต่โจทก์ฎีกาทำนองเดียวกับอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีมูลขอให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาดังกล่าวไว้พิจารณา ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 6964/2567

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6964/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 321 วรรคหนึ่ง, 656 วรรคสอง

การเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 656 วรรคสอง อันจะทำให้หนี้ระงับไปตามมาตรา 321 วรรคหนึ่ง นั้น จะต้องปรากฏว่าผู้ให้กู้ให้ความยินยอมในการเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมและต้องมีการตกลงกันว่าสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นที่นำมาชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมนั้นมีราคาเท่ากับราคาในท้องตลาดในเวลา ณ สถานที่ส่งมอบนั้นเท่าใดหรือไม่ด้วยเพื่อจะได้ทราบว่าหนี้เงินกู้ยืมระงับไปเป็นจำนวนเท่าใด

จำเลยกู้เงินโจทก์โดยนำรถยนต์มาเป็นหลักประกัน และตามสัญญากู้เงินมีข้อตกลงว่า หากผู้กู้ผิดนัดผิดสัญญา และผู้ให้กู้ได้บอกกล่าวทวงถามแล้ว แต่ผู้กู้เพิกเฉย ผู้กู้ตกลงให้ผู้ให้กู้ยึดรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อนำไปขายทอดตลาดหรือให้ผู้ให้กู้บังคับเอาแก่หลักประกันด้วยวิธีอื่นใดเพื่อนำเงินที่ได้จากการขายหรือบังคับเอาแก่หลักประกันมาชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินได้ หากผู้ให้กู้ขายรถหรือใช้สิทธิบังคับเอาแก่หลักประกันแล้วยังไม่พอชำระหนี้ที่ค้างชำระ ผู้กู้ยอมรับผิดชดใช้เงินให้แก่ผู้ให้กู้จนกว่าจะครบถ้วน เมื่อจำเลยผิดนัดผิดสัญญาไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ได้ การที่จำเลยนำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์เพื่อดำเนินการตามสัญญากู้เงินต่อไปตามหนังสือแสดงเจตนา จึงมิใช่การเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 656 วรรคสอง แต่เป็นการส่งมอบรถยนต์เพื่อให้โจทก์นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญา เมื่อได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินส่วนที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบ

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 6901/2567

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6901/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 654, 797 พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ม. 4 (1)

เมื่อโจทก์รับว่าโจทก์มอบหมายให้จำเลยนำเงินไปให้บุคคลภายนอกกู้ยืมโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดแล้วนำผลประโยชน์มามอบให้ จำเลยจึงเป็นตัวแทนของโจทก์ในกิจการดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 797 กรณีเช่นนี้จึงไม่สามารถแยกต้นเงินออกจากดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากบุคคลภายนอกเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดซึ่งตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกับนิติกรรมกู้ยืมได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลยนำไปปล่อยให้บุคคลภายนอกกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งกฎหมายกำหนดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะ การที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 411 โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวได้

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
ฎีกาที่ 6779/2567

# คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6779/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 224 วรรคหนึ่ง, 383 วรรคหนึ่ง, 573

ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ภายหลังจากจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเพียงงวดเดียว จำเลยเป็นฝ่ายส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ โดยสัญญาเช่าซื้อมิได้มีข้อตกลงใดให้สิทธิจำเลยผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาด้วยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ แต่การที่จำเลยไม่สามารถชำระหนี้ค่าเช่าซื้อตามสัญญาแก่โจทก์ และส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ภายหลังจากผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ แสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ต้องการเลิกสัญญาเช่าซื้อ และจำเลยลูกหนี้ที่ผิดนัดอาจใช้สิทธิเลิกสัญญาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 ที่บัญญัติว่า ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง อันเป็นบทบัญญัติที่กำหนดสิทธิและวิธีการบอกเลิกสัญญาโดยผู้เช่าซื้อไว้เป็นการเฉพาะนอกเหนือจากการบอกเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. บรรพ 2 ลักษณะ 2 สัญญา หมวด 4 ดังนั้น การที่จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์โดยมีเจตนาเลิกสัญญา และโจทก์รับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยไว้ถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 โจทก์จึงชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยซึ่งประพฤติผิดสัญญารับผิดชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคารถยนต์ตามข้อตกลงในสัญญาได้ อย่างไรก็ตามข้อตกลงที่จำเลยจะรับผิดชำระค่าขาดราคาให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 10.4 มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันเป็นเบี้ยปรับซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลย่อมลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ส่วนที่โจทก์ขอดอกเบี้ยของค่าขาดราคาในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นั้น โจทก์อาศัยสิทธิเรียกร้องด้วยเหตุใดโจทก์มิได้แสดงไว้ให้แจ้งชัด จึงไม่อาจกำหนดดอกเบี้ยให้ตามที่โจทก์เรียกร้องมาได้ อย่างไรก็ตามเมื่อหนี้ค่าขาดราคาที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นหนี้เงิน จำเลยจึงต้องรับผิดดอกเบี้ยผิดนัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

คลิกเพื่ออ่านคำพิพากษาฉบับเต็ม
หน้า จาก 33
แสดงรายการ 1 - 10 จากทั้งหมด 324 รายการ