คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2529

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3417

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3417/2529

ประมวลรัษฎากร ม. 78, 84 พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 ม. 4

ตามประมวลรัษฎากรบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า12ธนาคารชนิด1ได้กำหนดรายการที่ประกอบการค้าไว้ได้แก่'การออมสินที่มิใช่ของรัฐบาลการธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์หรือกิจการของผู้ที่ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์เช่นให้กู้ยืมเงินฯลฯ'แม้คำว่าประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์นั้นหาจำต้องประกอบธุรกิจประเภทรับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาอันกำหนดไว้และใช้ประโยชน์เงินนั้นในทางหนึ่งหรือหลายทางเช่นให้กู้ยืมอย่างธนาคารดังที่พระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์พ.ศ.2505มาตรา4ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับระหว่างปีภาษีที่พิพาทในคดีนี้บัญญัติไว้ก็ตามแต่การประกอบกิจการเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ตามความหมายดังกล่าวจะต้องมีลักษณะทำนองเดียวกับธนาคารพาณิชย์และจะต้องเป็นการประกอบกิจการโดยปกติด้วยคำว่าโดยปกติย่อมมีความหมายในตัวเองว่าได้มีการประกอบกิจการดังเช่นที่เคยปฏิบัติมาแต่ข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าการขายกิจการด้านการตลาดให้แก่บริษัทซ.แล้วแปลงหนี้เป็นหนี้เงินกู้ก็ดีการให้บริษัทล.กู้ยืมเงินไปสร้างโรงงานผลิตแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และการให้บริษัทอ.กู้ยืมเงินไปซื้อเรือบรรทุกน้ำมันก็ดีแต่ละรายการล้วนแต่โจทก์ได้กระทำเพียงครั้งเดียวทั้งสิ้นไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าโจทก์เคยปฏิบัติเช่นเดียวกันนั้นมาก่อนจึงไม่มีทางจะแปลการประกอบกิจการของโจทก์ไปได้ว่าเป็นการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์แม้โจทก์ได้รับดอกเบี้ยเป็นประจำโดยตลอดและได้ดอกเบี้ยต่ำโดยโจทก์ได้ประโยชน์ในการขยายกิจการและการผลิตการจำหน่ายน้ำมันเพิ่มขึ้นก็หาทำให้กิจการของโจทก์ดังกล่าวเป็นการประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ตามความหมายของประมวลรัษฎากรไม่เมื่อกรณีของโจทก์ถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้ประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ดังกล่าวแล้วแม้โจทก์จะได้ดอกเบี้ยก็จะถือเป็นรายรับอันจะต้องนำมาคำนวณเสียภาษีการค้าในอัตราร้อยละ2.5หาได้ไม่เพราะคำว่า'ดอกเบี้ย'ที่กำหนดไว้ในชนิด1ของประเภทการค้า12ต้องพิจารณาประกอบกับรายการที่ประกอบการค้าดังกล่าวคือต้องประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3403

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ADMIN 3403/2529

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 222, 374 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 9 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 152 (5), 150, 151, 249 ประมวลรัษฎากร ม. 50

จำเลยไม่ยอมรับโจทก์ซึ่งเป็นพนักงานของโรงงานสุราบางยี่ขันเข้าทำงานกับจำเลยตามสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันระหว่างกรมโรงงานอุตสาหกรรมกับจำเลยซึ่งจำเลยได้ให้สัญญาว่าจะรับพนักงานของโรงงานสุราบางยี่ขันและเมื่อโจทก์ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้ในสัญญาดังกล่าวได้แสดงความจำนงจะเข้าทำงานกับจำเลยแล้วนั้นจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดสัญญาต้องชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ ค่าเสียหายของโจทก์ในกรณีนี้คือเงินที่โจทก์พึงได้รับจากจำเลยหากจำเลยรับโจทก์เข้าทำงานและเมื่อโจทก์มีรายได้จากการทำงานกับบริษัทอื่นหลังจากที่จำเลยไม่ยอมรับโจทก์เข้าทำงานแล้วก็ต้องนำรายได้นั้นมาหักจากจำนวนเงินที่โจทก์พึงได้จากจำเลยดังกล่าวด้วย ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ต่อศาลแพ่งเป็นการไม่ชอบเพราะโจทก์ต้องฟ้องต่อศาลแรงงานกลางตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา9นั้นจำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างในคำให้การคดีจึงไม่มีประเด็นในเรื่องนี้แม้จะเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรจะยกขึ้นวินิจฉัยจึงไม่วินิจฉัยให้ โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าภาษีเงินได้ที่โจทก์จะต้องชำระแก่กรมสรรพากรแทนโจทก์มาด้วยโจทก์ก็ต้องเสียค่าขึ้นศาลในทุนทรัพย์ที่เรียกร้องโจทก์จะมาอ้างว่าเป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องเสียภาษีเงินได้ของโจทก์ต่อกรมสรรพากรแล้วขอคืนเงินค่าขึ้นศาลดังกล่าวหาได้ไม่ ตามสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันฯระบุให้จำเลยจ่ายบำเหน็จแก่พนักงานของจำเลยเท่านั้นโจทก์มิได้เป็นพนักงานของจำเลยเนื่องจากจำเลยไม่ยอมรับโจทก์เข้าทำงานแล้วจึงไม่มีสิทธิเรียกเงินบำเหน็จดังกล่าวสิทธิของโจทก์มีเพียงเรียกค่าเสียหายอันเกิดแต่การผิดสัญญาเท่านั้นและหากจะถือว่าโจทก์เรียกร้องเงินบำเหน็จมาในฐานะเป็นค่าเสียหายเมื่อค่าเสียหายที่ศาลกำหนดให้มาเหมาะสมแล้วโจทก์จึงไม่สมควรได้รับเงินบำเหน็จนั้นในฐานะเป็นค่าเสียหายอีก ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยชำระภาษีเงินได้แทนโจทก์ตามที่โจทก์ต้องชำระต่อกรมสรรพากรในยอดค่าเสียหายที่ศาลกำหนดให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์เมื่อปรากฏว่าตามสัญญาเช่าโรงงานสุราบางยี่ขันฯระบุให้จำเลยมีหน้าที่ชำระภาษีเงินได้แทนพนักงานหรือคนงานของจำเลยเท่านั้นจำเลยจึงไม่มีหน้าที่ชำระภาษีเงินได้ดังกล่าวแทนโจทก์และเมื่อค่าเสียหายที่ศาลกำหนดให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์เป็นจำนวนพอสมควรแล้วจำเลยจึงไม่ต้องชำระค่าภาษีเงินได้ดังกล่าวแทนโจทก์.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3402

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3402/2529

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 237, 1300, 1364, 1377, 1382

โจทก์ซึ่งเป็นทายาทพ.และห.ซึ่งเป็นเจ้าของรวมในที่ดินแปลงที่ปลูกตึกแถวพิพาทได้แบ่งทรัพย์สินกันเองในระหว่างเจ้าของรวมโดยโจทก์ได้ที่ดิน53ตารางวาส่วนที่เหลือซึ่งเป็นของห.โจทก์และห.ยอมให้จำเลยที่2ถึงที่9ซึ่งเป็นหลานของห.เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์สำหรับตึกพิพาทนอกจากจะปลูกอยู่บนที่ดินส่วนของจำเลยที่2ถึงที่9แล้วโจทก์ให้จำเลยที่10ดำเนินการโอนตึกแถวพิพาทให้จำเลยที่2ถึงที่9โดยโจทก์พิมพ์ลายนิ้วมือไว้ในเอกสารหมายล.1โดยสมัครใจความว่าโจทก์ไม่ขอเกี่ยวข้องในสิทธิและตึกแถวพิพาทแต่อย่างใดจึงเป็นการสละเจตนาครอบครองตึกแถวพิพาทตั้งแต่วันทำเอกสารหมายล.1จำเลยที่2ถึงที่9โดยจำเลยที่1ในฐานะผู้แทนโดยชอบธรรมได้ครอบครองตึกแถวพิพาทติดต่อกันมาโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของด้วยการทำสัญญาเช่าและเก็บค่าเช่านับแต่วันทำเอกสารหมายล.1ถึงวันฟ้องเป็นเวลากว่าสิบปีจำเลยที่2ถึงที่9จึงได้กรรมสิทธิ์โจทก์ไม่มีสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนนิติกรรมการโอนระหว่างห.กับจำเลยที่2ถึงที่9.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3401

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3401/2529

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 609, 625, 627 พระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ม. 13

กรณีรับขนส่งทางทะเลปรากฏว่าผู้ขายสัญชาติอเมริกันได้ส่งสินค้าประเภทอะไหล่รถแทรกเตอร์จำนวน2ตู้คอนเทนเนอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกามาให้ห้างหุ้นส่วนจำกัดส.ผู้ซื้อที่กรุงเทพมหานครโดยบริษัทจำเลยสัญชาติเดนมาร์คซึ่งประกอบการพาณิชย์ในประเทศไทยเป็นผู้ขนส่งจำเลยได้ออกใบตราส่งให้แก่ผู้ส่งสินค้าระบุเงื่อนไขไว้ด้านหลังใบตราส่งว่าผู้รับขนจะไม่มีความรับผิดสำหรับความสูญหายหรือเสียหายที่เกิดขึ้นหรือเกี่ยวข้องกับสินค้าเกินไปกว่า500เหรียญสหรัฐอเมริกาต่อหีบห่อหรือหน่วยแล้วผู้ขายได้มอบใบตราส่งดังกล่าวให้แก่ธนาคารและธนาคารได้สลักหลังส่งมอบให้แก่ผู้ซื้ออีกชั้นหนึ่งผู้ซื้อได้เอาสินค้าดังกล่าวประกันภัยไว้กับโจทก์เมื่อเรือจำเลยมาถึงประเทศไทยผู้ซื้อไปรับสินค้าปรากฏว่าตู้คอนเทนเนอร์ใบหนึ่งแตกสินค้าที่บรรจุมาส่วนหนึ่งสูญหายโจทก์ได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ซื้อแล้วรับช่วงสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองกรณีนี้ถือว่ามูลคดีเกิดขึ้นในประเทศไทยต้องบังคับตามกฎหมายไทยหามีปัญหาว่าจะพึงใช้กฎหมายใดบังคับอันจะต้องวินิจฉัยตามมาตรา13แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดกันแห่งกฎหมายพุทธศักราช2481ไม่โดยให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะรับขนในหมวดรับขนของอันเป็นกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาปรับแก่คดี ใบรับใบตราส่งหรือเอกสารอื่นๆทำนองนั้นซึ่งผู้ขนส่งออกให้แก่ผู้ส่งนั้นถ้ามีข้อความยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดของผู้ขนส่งประการใดความนั้นเป็นโมฆะเว้นแต่ผู้ส่งจะได้แสดงความตกลงด้วยชัดแจ้งการที่จำเลยกำหนดเงื่อนไขไว้ด้านหลังใบตราส่งว่าจำเลยจะไม่ต้องรับผิดสำหรับความสูญหายหรือเสียหายของสินค้าเกินไปกว่า500เหรียญสหรัฐอเมริกาก็คือการยกเว้นหรือจำกัดความรับผิดนั่นเองเมื่อไม่มีลายมือชื่อของผู้ส่งสินค้าลงไว้ด้วยจึงฟังไม่ได้ว่าผู้ส่งได้แสดงความตกลงด้วยชัดแจ้งข้อความจำกัดความรับผิดดังกล่าวไม่มีผลใช้ยันผู้ส่งได้และไม่อาจใช้ยันผู้รับตราส่งตลอดจนโจทก์ผู้รับประกันภัยซึ่งรับช่วงสิทธิของผู้รับตราส่งมาอีกทอดหนึ่งโจทก์จึงหาผูกพันให้ต้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยเพียง500เหรียญสหรัฐอเมริกาไม่แต่มีสิทธิเรียกตามความเสียหายที่แท้จริง.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3398

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3398/2529

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 288, 289, 80, 90, 91

การที่จำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย1นัดแล้วกลับบ้านต่อมาในคืนเดียวกันจำเลยทราบว่าผู้ตายยังไม่ถึงแก่ความตายจึงได้ย้อนกลับไปใช้ไม้ไผ่ตีทำร้ายผู้ตายอีกจนถึงแก่ความตายนั้นก็ด้วยเจตนาเดียวกันคือเจตนาฆ่าผู้ตายเมื่อจำเลยได้กระทำในเวลาใกล้เคียงต่อเนื่องกันจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา288 การที่จำเลยทราบว่าผู้ตายยังไม่ถึงแก่ความตายจึงย้อนกลับไปยังที่เกิดเหตุอีกโดยมิได้ถืออาวุธไปด้วยเมื่อพบไม้ไผ่ปลายแหลมใกล้ที่เกิดเหตุจึงใช้ไม้ไผ่ดังกล่าวตีทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตายนั้นเป็นเรื่องจำเลยต้องการทำร้ายผู้ตายให้ถึงแก่ความตายตามเจตนาเดิมของจำเลยการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา289.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3397

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ADMIN 3397/2529

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 8, 420, 425, 438 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 172, 249

โจทก์บรรยายฟ้องว่าผลแห่งการกระทำละเมิดทำให้สังกะสีที่โจทก์บรรทุกรถมาแตกเสียหายและสูญหายโดยบรรยายขนาดของสังกะสีแต่ละขนาดและจำนวนแผ่นของสังกะสีขนาดนั้นๆที่เสียหายและสูญหายรวมทั้งราคาของสังกะสีดังกล่าวและราคาของทรัพย์สินอื่นที่ได้รับความเสียหายดังนี้เป็นฟ้องที่แจ้งชัดแล้วโจทก์ไม่จำต้องแสดงหลักฐานการแจ้งความแก่ตำรวจหรือแนบสำเนารายการทรัพย์สินที่เสียหายมาท้ายฟ้องฟ้องของโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม โจทก์ซึ่งเป็นผู้รับจ้างบรรทุกสินค้าย่อมจะต้องมีความรับผิดต่อผู้ว่าจ้างบรรทุกสินค้าจึงย่อมมีสิทธิเรียกค่าเสียหายจากจำเลยที่2ผู้เป็นเจ้าของรถคันเกิดเหตุให้รับผิดในผลละเมิดร่วมกับจำเลยที่1ลูกจ้างผู้ขับรถสำหรับความเสียหายของสินค้าที่รับจ้างมาอยู่แล้วข้อเท็จจริงที่ว่าสินค้าจะเป็นของต.ตามที่โจทก์อ้างหรือไม่จึงไม่เป็นประโยชน์แก่จำเลยที่2 ปัญหาที่ว่ารถโจทก์บรรทุกสังกะสีมาเป็นจำนวนเท่าใดและเหตุที่เกิดขึ้นทำให้สังกะสีต้องบุบสลายเสียหายไปเป็นจำนวนตามที่โจทก์ฟ้องหรือไม่จำเลยที่2ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นแม้ปัญหาดังกล่าวศาลอุทธรณ์จะได้วินิจฉัยมาก็ไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณาศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา249 ทรัพย์สินของโจทก์ต้องบุบสลายเสียหายและสูญหายเพราะเกิดจากผลแห่งการละเมิดของจำเลยที่1ซึ่งจำเลยที่2จะต้องร่วมรับผิดในฐานะนายจ้างด้วยโดยตรงแม้คนของโจทก์หรือคนของจำเลยที่2ต่างก็ไม่สามารถคุ้มครองทรัพย์สินเหล่านั้นได้ความเสียหายของโจทก์ในส่วนนี้จึงเป็นผลโดยตรงจากการละเมิดไม่ใช่เหตุสุดวิสัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3349

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ADMIN 3349/2529

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1605 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 142 (2)

จำเลยซึ่งเป็นทายาทได้ขอเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่มีชื่อเจ้ามรดกโดยอ้างต่อเจ้าพนักงานว่าจำเลยมีสิทธิในที่ดินนั้นและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ออกทับที่ดินของบุคคลอื่นดังนี้ถือไม่ได้ว่าจำเลยยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดกเพราะแม้ไม่มีจำเลยหรือผู้ใดร้องขอให้เพิกถอนทางราชการก็ต้องเพิกถอนอยู่แล้วทั้งนี้เนื่องจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทออกทับที่ของบุคคลอื่นจึงไม่ถือว่าจำเลยกระทำการโดยฉ้อฉลอันเป็นการยักย้ายหรือปิดบังทรัพย์มรดก โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทและค่าขาดประโยชน์ทำนาในที่ดินพิพาททั้งหมดศาลฟังว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์และเจ้ามรดกซึ่งเป็นบุตรจำเลยทั้งสองเมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรมจำเลยทั้งสองย่อมมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกบางส่วนศาลย่อมพิพากษาให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3152

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3152/2529

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 175 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (4), 28

การที่จำเลยนำความเท็จมาฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาซึ่งเป็นการฟ้องเท็จนั้นโจทก์ย่อมเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดฐานฟ้องเท็จของจำเลยโจทก์จึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาฐานฟ้องเท็จตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา175ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3396

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3396/2529

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 479, 1332, 1336, 76 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 131, 132

จำเลยที่3เป็นพนักงานสอบสวนในการสืบสวนสอบสวนจึงมีหน้าที่ตามกฎหมายในการแสวงหาข้อเท็จจริงรวบรวมหลักฐานและดำเนินการทั้งหลายเกี่ยวกับความผิดเพื่อทราบข้อเท็จจริงพิสูจน์ความผิดและเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษการที่จำเลยที่3สืบสวนทราบว่ารถยนต์ของช.ที่ถูกยักยอกไปอยู่ในความครอบครองของโจทก์และยึดรถยนต์ดังกล่าวมาเพื่อประโยชน์ในการดำเนินคดีจึงเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยที่3และกรมตำรวจจำเลยที่4ต้นสังกัดจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ซื้อรถยนต์จากท้องตลาดโดยสุจริตก็หาได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ที่ซื้อนั้นไม่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1332เพียงแต่บัญญัติว่าผู้ซื้อไม่จำต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริงเว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมาดังนี้เมื่อเจ้าของติดตามรถยนต์ดังกล่าวคืนโดยตำรวจยึดรถยนต์นั้นไปและศาลพิพากษาให้โจทก์ได้รับชำระราคาเพราะเหตุที่โจทก์ถูกรอนสิทธิแล้วโจทก์จึงขอบังคับให้ส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์อีกไม่ได้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3387

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ ADMIN 3386 - 3387/2529

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 583 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177 วรรคสาม พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ม. 5 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 8 (1)

การหย่อนสมรรถภาพในการทำงานไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นประการใดประการหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา583ที่จำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า ข้อบังคับองค์การทอผ้าว่าด้วยกองทุนบำเหน็จพ.ศ.2521ข้อ3.4กำหนดว่า'ค่าจ้าง'หมายความว่าเงินที่องค์การทอผ้าจ่ายให้แก่พนักงานประจำเพื่อตอบแทนการทำงานของพนักงานประจำเป็นรายวันรวมทั้งเงินเพิ่มพิเศษสำหรับการสู้รบด้วยแต่ไม่รวมเงินตอบแทนในลักษณะค่าล่วงเวลาโบนัสเบี้ยเลี้ยงเบี้ยกรรมการหรือประโยชน์อย่างอื่น'ค่าครองชีพเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้างจึงมิใช่'ประโยชน์อย่างอื่น'ตามคำจำกัดความข้างต้นและตามคำจำกัดความดังกล่าวมิได้กำหนดว่าค่าจ้างไม่รวมถึงค่าครองชีพจึงนำค่าครองชีพมารวมคำนวณเป็นเงินบำเหน็จได้ ระเบียบองค์การทอผ้าว่าด้วยการหักเก็บรายได้ของพนักงานไว้เป็นเงินประกันตัวพ.ศ.2525เป็นเงื่อนไขในการจ้างหรือการทำงานเป็นกรณีที่เกี่ยวแก่ประโยชน์ของนายจ้างและลูกจ้างอันเกี่ยวกับการจ้างหรือการทำงานเป็นสภาพการจ้างและเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างจำเลยประสงค์จะใช้สิทธิตามระเบียบดังกล่าวเพื่อบังคับโจทก์ให้ชำระหนี้ร้านค้าสวัสดิการของจำเลยที่ค้างชำระโดยหักคืนจากเงินประกันตัวที่โจทก์วางไว้จึงเป็นคดีพิพาทตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างชอบที่ศาลแรงงานจะรับฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอบังคับดังกล่าวไว้พิจารณาพิพากษาได้.

« »
ติดต่อเราทาง LINE