คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2515

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2515/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 56

หลักเกณฑ์การรอการลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ต้องพิจารณาโทษจำคุกในความผิดที่ได้กระทำในคดีนั้น ๆ ว่าต้องคำพิพากษาให้จำคุกเกิน 6 เดือนหรือไม่ ซึ่งหมายถึงโทษจำคุกสุทธิก่อนบวกโทษที่รอการลงโทษในคดีอื่นเท่านั้น ดังนั้น เมื่อคดีก่อนศาลลงโทษจำเลยที่ 5 ให้จำคุกไม่เกิน 6 เดือน แม้ศาลคดีก่อนจะนำโทษจำคุกของจำเลยที่ 5 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอื่นมาบวกคดีละ 4 เดือน เป็นจำคุก 14 เดือน ก็ยังถือว่าอยู่ในเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุกตาม ป.อ. มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 158 (5), 192 วรรคสาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 4

ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 บัญญัติให้ฟ้องโจทก์ต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ดังนั้น หากฟ้องโจทก์แตกต่างจากข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดในส่วนที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง ย่อมถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดต่อรถยนต์ตามที่โจทก์ฟ้อง หากแต่จำเลยกระทำต่อเงินที่จำเลยได้รับจากการจำนำรถยนต์ ซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้องและไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย ในกรณีเช่นนี้ต้องถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2359/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 438, 1168, 1169

จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการของโจทก์อยู่ขณะเข้าไปเป็นกรรมการของจำเลยที่ 3 ซึ่งประกอบกิจการค้าขายอันมีสภาพเป็นอย่างเดียวกันและเป็นการแข่งขันกับการค้าขายของโจทก์ อันเป็นการฝ่าฝืนต่อหน้าที่ของกรรมการซึ่งจะต้องใช้ความระมัดระวังเอื้อเฟื้อสอดส่องอย่างบุคคลค้าขายผู้ประกอบด้วยความระมัดระวังในการบริหารจัดการงานของบริษัทโจทก์เพื่อประโยชน์ของบริษัทและผู้ถือหุ้น ทั้งเป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยการประกอบการค้าแข่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1168 ที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นกรรมการของโจทก์มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม แต่กลับฝ่าฝืน และจัดตั้งจำเลยที่ 3 มาเป็นส่วนหนึ่งในการประกอบกิจการแข่งขัน จึงเป็นการจงใจกระทำความผิดต่อหน้าที่ตามที่กฎหมายกำหนดอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 ด้วย และการกระทำของจำเลยที่ 3 เป็นการร่วมกับจำเลยที่ 1 เพื่อให้บรรลุผลในการประกอบกิจการแข่งขันอันเป็นละเมิดต่อโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 420 จำเลยที่ 1 และที่ 3 จึงต้องรับผิดต่อโจทก์

สำหรับจำเลยที่ 2 ได้ความว่าที่ประชุมมีมติแต่งตั้งให้จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของโจทก์ แต่โจทก์ยังไม่นำความดังกล่าวไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 1157 จึงไม่อาจถือว่าจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการของโจทก์ซึ่งกระทำผิดต่อหน้าที่กรรมการตามที่กฎหมายบัญญัติดังเช่นการกระทำละเมิดของจำเลยที่ 1 แต่อย่างไรก็ตาม ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยที่ 2 มีความสัมพันธ์และรับรู้ถึงการก่อตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 ขึ้นมาเพื่อทำการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ การที่จำเลยที่ 2 ร่วมเป็นผู้เริ่มก่อการจัดตั้งบริษัทจำเลยที่ 3 และเข้าเป็นกรรมการซึ่งเป็นผู้ควบคุมการดำเนินการของบริษัทจำเลยที่ 3 ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ในการประกอบธุรกิจของจำเลยที่ 3 พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ที่เข้าเกี่ยวข้องดังกล่าวถือเป็นการกระทำร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันกระทำการแข่งขันทางการค้ากับโจทก์ เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1และที่ 3 เป็นละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 จึงต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 และที่ 3 ในผลแห่งละเมิดนั้นด้วย

ความรับผิดของกรรมการกรณีฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1168 นั้น บริษัทอาจใช้สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทนจากกรรมการเป็นการเฉพาะ หรือในกรณีที่บริษัทไม่ยอมฟ้องร้อง ผู้ถือหุ้นอาจฟ้องคดีแทนบริษัทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1169 และการเรียกค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยทั้งสามในฐานะผู้ร่วมกระทำละเมิดต้องอยู่ภายใต้บทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 438 ไม่อาจบังคับให้จำเลยที่ 3 จดทะเบียนเลิกบริษัทหรือจดทะเบียนยกเลิกวัตถุประสงค์ในการประกอบกิจการตามคำขอของโจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1245/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 39 (2), 39 (3) พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ.2534 ม. 7

การที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงว่า ตามที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีหมายเลขแดงที่ พ 1873/2562 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ แต่มีเหตุขัดข้องทำให้จำเลยที่ 1 ยังไม่อาจปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงได้ โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงทำบันทึกดังต่อไปนี้ จำเลยที่ 1 ตกลงชำระเงิน 4,800,000 บาท ให้แก่โจทก์ แบ่งชำระ 2 งวด ชำระในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2562 เป็นเงิน 1,200,000 บาท และชำระในวันที่ 18 ธันวาคม 2562 เป็นเงิน 3,600,000 บาท โดยจำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งจ่ายเช็ค 2 ฉบับ ฉบับแรกสั่งจ่ายเงิน 1,200,000 บาท และฉบับที่สองสั่งจ่ายเงิน 3,600,000 บาท หากจำเลยที่ 1 ปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าวครบถ้วน ให้ถือว่าภาระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่งดังกล่าวเป็นอันสิ้นสุด แต่หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้ตามเช็คดังกล่าว ให้ถือว่าบันทึกข้อตกลงฉบับนี้เป็นอันสิ้นสุดลง และจำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์บังคับคดีได้เต็มจำนวนภาระหนี้ที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความทันที ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คพิพาท เพื่อชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีแพ่ง โดยมีข้อตกลงว่าหากผิดนัดยอมให้โจทก์บังคับคดีได้เต็มจำนวนภาระหนี้ที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความได้ทันที เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามเช็คพิพาทฉบับที่ 2 จำนวน 3,600,000 บาท ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวอีกต่อไป แต่จำเลยที่ 1 ยังคงผูกพันตามคำพิพากษาตามยอมเดิม หนี้ดังกล่าวที่จำเลยทั้งสองร่วมกันออกเช็คพิพาทชำระจึงไม่สิ้นผลผูกพันไปก่อนศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งจะถือว่าคดีเลิกกันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (3)

ส่วนบันทึกข้อตกลงท้ายรายงานการยึดทรัพย์ในภายหลังต่อมาที่มีข้อความว่า จำเลยที่ 1 จะชำระหนี้ให้แก่โจทก์ 9,000,000 บาท ชำระในวันทำสัญญา 100,000 บาท ส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวดจนกว่าจะชำระครบ โดยชำระงวดสุดท้ายในวันที่ 30 กันยายน 2563 หากจำเลยที่ 1 ผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดถือว่าไม่เคยมีข้อตกลงดังกล่าว ให้โจทก์บังคับคดีตามสัญญาประนีประนอมยอมความในคดีหมายเลขแดงที่ พ 1873/2562 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้นั้น นอกจากจะเป็นข้อตกลงในชั้นบังคับคดีเพื่อชะลอการบังคับคดีแก่จำเลยที่ 1 แล้ว ยังเป็นข้อตกลงในการผ่อนชำระหนี้ตามเช็คพิพาทเท่านั้น และตามข้อตกลงดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดแสดงว่าโจทก์ตกลงสละสิทธิในการดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งสองในทันทีหรือยอมความกัน จึงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ ไม่ทำให้มูลหนี้เดิมตามเช็คระงับไป แล้วเกิดหนี้ใหม่ตามบันทึกข้อตกลงท้ายรายงานการยึดทรัพย์ ทั้งไม่มีการเปลี่ยนแปลงสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งหนี้ จึงไม่เป็นแปลงหนี้ใหม่ อันจะทำให้หนี้เดิมระงับไปแต่อย่างใด เมื่อจำเลยที่ 1 มิได้ใช้เงินตามเช็คพิพาทฉบับที่ 2 ให้โจทก์ และหนี้ที่ได้ออกเช็คเพื่อใช้เงินนั้นก็ไม่สิ้นผลผูกพันตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 7 คดีจึงไม่เลิกกัน สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) และ (3)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1220/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 343 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (4), 28 (2)

ข้ออ้างของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ซึ่งชักชวนโจทก์ให้นำเงินมาลงทุนในบริษัท ม. ว่าจะได้ผลตอบแทนสูง แม้เมื่อคำนวณเป็นดอกเบี้ยแล้วจะเกินกว่าอัตราร้อยละ 15 ต่อปีก็ตาม แต่กรณีมิใช่เรื่องที่โจทก์ให้บริษัท ม. กู้ยืมเงินแล้วเรียกผลตอบแทนทำนองเดียวกับดอกเบี้ยในอัตราสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดอันจะอยู่ในบังคับของ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 หากแต่ผลตอบแทนที่โจทก์จะได้รับนั้นเกิดจากผลกำไรจากการประกอบกิจการของบริษัทนั้นเองซึ่งจากการอวดอ้างชักชวนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ที่แสดงออกแก่โจทก์ไม่ปรากฏว่าบริษัท ม. มีการประกอบกิจการอย่างใดอันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย กรณีจึงถือไม่ได้ว่าการคาดหมายว่าจะได้รับผลตอบแทนจำนวนสูงของโจทก์มีมูลมาจากการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย

สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนตาม ป.อ. มาตรา 343 แม้จะเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน แต่ประชาชนคนหนึ่งคนใดที่ต้องสูญเสียทรัพย์สินไปจากการถูกหลอกลวงต้องถือว่าบุคคลนั้นเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิดฐานนี้ด้วยและย่อมเป็นผู้เสียหายที่จะฟ้องคดีได้ด้วยตนเองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 28 (2) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1207

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1207/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 227 วรรคสอง พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 ม. 5

การจะเป็นความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยร่วมกระทำการใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการดำเนินการขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ หรือเป็นเครือข่ายดำเนินงานขององค์กรดังกล่าว หรือสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรดังกล่าวตามฟ้องได้นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ปรากฏชัดถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของจำเลยดังที่ระบุไว้ในมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 แต่คดีนี้ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย เนื่องจากคนร้ายแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นบัญชีอื่น หาใช่ผู้เสียหายไม่สามารถทำรายการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยได้ ฉะนั้น เมื่อคดีได้ความว่าคนร้ายไม่ได้ใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเป็นบัญชีรับและถอนเงินที่ได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย เช่นนี้เท่ากับยังไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งการกระทำใด ๆ ของจำเลยอย่างอื่นอีกที่จะบ่งชี้ได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นหรือยินยอมให้คนร้ายใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยในการกระทำความผิด ทั้งไม่ปรากฏว่านอกจากคดีนี้แล้วคนร้ายนำบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยไปใช้เป็นบัญชีรับเงินจากผู้เสียหายรายอื่นอีก ลำพังเพียงการที่คนร้ายแจ้งบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยแก่ผู้เสียหายเพื่อให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารอื่นโดยผู้เสียหายยังไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย จึงยังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยมีส่วนร่วมกระทำการใด ๆ ในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามฟ้อง หากแต่ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2324

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2324/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 147, 157, 352 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 192 วรรคท้าย, 215, 225 พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ.2547 ม. 4

จําเลยเป็นพนักงานมหาวิทยาลัย ม. ผู้เสียหาย ซึ่งพนักงานมหาวิทยาลัยดังกล่าวคือ พนักงานในสถาบันอุดมศึกษาตามความในมาตรา 4 แห่ง พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษา พ.ศ. 2547 พระราชบัญญัติฉบับนี้กำหนดคํานิยามของพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาว่า หมายถึง บุคคลซึ่งได้รับการจ้างตามสัญญาจ้างให้ทำงานในสถาบันอุดมศึกษา โดยได้รับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนจากเงินงบประมาณแผ่นดินหรือเงินรายได้ของสถาบันอุดมศึกษา ซึ่งความหมายของพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาตามกฎหมายฉบับนี้แตกต่างจากความหมายของข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาตามกฎหมายฉบับเดียวกัน กล่าวคือข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาหมายถึงบุคคลซึ่งได้รับบรรจุและแต่งตั้งให้รับราชการตามพระราชบัญญัตินี้ โดยได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณประเภทเงินเดือนในสถาบันอุดมศึกษา หากเปรียบเทียบข้อแตกต่างสำคัญแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาเป็นบุคคลที่ได้รับการบรรจุและแต่งตั้งให้เป็นข้าราชการโดยได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณประเภทเงินเดือนในสถาบันอุดมศึกษาจึงมีฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา ส่วนพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาเป็นบุคคลที่ได้รับการจ้างตามสัญญาจ้างให้เป็นพนักงานจึงถือไม่ได้ว่าเป็นข้าราชการ อีกทั้งค่าจ้างหรือค่าตอบแทนพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาก็มิใช่เงินเดือนอันมีที่มาจากเงินงบประมาณประเภทเงินดือนในสถาบันอุดมศึกษา แม้พระราชบัญญัติฉบับนี้จะระบุว่า พนักงานในสถาบันอุดมศึกษาได้รับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนจากเงินงบประมาณแผ่นดินก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาความหมายของพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งสายวิชาการและสายสนับสนุนตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัย ม. พ.ศ. 2537 และข้อบังคับมหาวิทยาลัย ม. ว่าด้วยการบริหารงานบุคคล พ.ศ. 2552 ที่ใช้บังคับขณะจําเลยกระทำผิดแล้ว ล้วนได้ความตรงกันว่าพนักงานมหาวิทยาลัยทั้งสองประเภทได้รับค่าจ้างหรือค่าตอบแทนจากเงินงบประมาณแผ่นดินหมวดเงินอุดหนุนทั่วไปหรือเงินรายได้ของมหาวิทยาลัย เมื่อจําเลยเป็นพนักงานมหาวิทยาลัยหรือพนักงานในสถาบันอุดมศึกษาซึ่งมิใช่ข้าราชการพลเรือนในสถาบันอุดมศึกษาและไม่ได้รับเงินเดือนจากเงินงบประมาณประเภทเงินเดือนในสถาบันอุดมศึกษา ประกอบกับไม่มีกฎหมายหรือข้อบังคับใดกําหนดให้พนักงานในสถาบันอุดมศึกษาเป็นเจ้าพนักงาน จําเลยจึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และศาลไม่อาจลงโทษจําเลยในฐานะเป็นเจ้าพนักงานผู้กระทำความผิดตาม ป.อ. มาตรา 147 และ 157 ตามฟ้องของโจทก์ได้ แต่เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า จําเลยเบียดบังทรัพย์ของผู้เสียหายไปในฐานะบุคคลธรรมดาซึ่งโจทก์ได้บรรยายฟ้องกล่าวถึงข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 ไว้แล้ว ศาลย่อมมีอำนาจลงโทษจําเลยในความผิดตาม ป.อ. มาตรา 352 วรรคแรก ได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 215 และ 225

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2182

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2182/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 80 ป.ยาเสพติด ม. 90, 126, 127 วรรคสอง, 145 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ม. 15 วรรคสาม (2) พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ม. 21 วรรคหนึ่ง

จำเลยที่ 1 โทรศัพท์ติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีน 2 ถุง ของกลางกับ ช. จากนั้น ช. โทรศัพท์ติดต่อสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีนของกลางจากจำเลยที่ 2 เมื่อ ช. ได้รับเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 2 แล้วนำมาบรรจุใส่กล่องพัสดุไปรษณีย์ ว่าจ้าง ณ. นำไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1 ลักษณะการตกลงกันเช่นนี้ ถือได้ว่าเป็นการคบคิดร่วมกันระหว่าง ช. กับจำเลยที่ 1 อันเป็นการสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดแล้ว การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงเป็นความผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามมาตรา 127 วรรคหนึ่ง แห่ง ป.ยาเสพติด แต่จำเลยที่ 1 ไม่ทันรับมอบ ณ. นำเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวไปให้เจ้าพนักงานตำรวจและ ช. ถูกจับกุมเสียก่อน จำเลยที่ 1 ย่อมมีความผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนโดยการพยายามมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน ซึ่งต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 127 วรรคสอง กับฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ซึ่งต้องระวางโทษเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 126 แม้จำเลยที่ 1 สมคบกับ ช. เพียงผู้เดียวมิได้สมคบกับจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 ไม่มีหน้าที่จัดหาลูกค้าและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนแก่ผู้อื่น จำเลยที่ 1 ติดต่อสั่งซื้อเมทแอมเฟตามีน 2 ถุง ของกลางจาก ช. โดยไม่ปรากฏว่าจะนำไปจำหน่ายต่อแก่ผู้อื่น และไม่มีการแบ่งกำไรกันระหว่าง ช. กับจำเลยที่ 1 ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 รู้เห็นหรือร่วมกับ ช. มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายซึ่งเมทแอมเฟตามีน 3 ถุง ของกลาง ที่ค้นพบภายในห้องพักของ ช. แต่ปริมาณเมทแอมเฟตามีนที่จำเลยที่ 1 พยายามมีไว้ในครอบครองต้องด้วยข้อสันนิษฐานตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2) ว่าเป็นการมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ซึ่ง พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 21 วรรคหนึ่ง ยังให้มีผลใช้บังคับแก่คดีนี้ และจำเลยที่ 1 ไม่อาจนำสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าวได้ จึงฟังได้ว่าการกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการกระทำเพื่อจำหน่าย แต่พฤติการณ์ของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ได้ว่าเป็นการกระทำเพื่อการค้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2148

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2148/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 188

คำว่า "เอาไปเสีย" ตามมาตรา 188 มิได้มีความหมายเป็นอย่างเดียว กับคำว่า "เอาไป" ที่ใช้ในความผิดข้อหาลักทรัพย์ตามมาตรา 334 แต่หมายถึงการเอาไปจากที่เอกสารนั้นเคยอยู่ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนที่อาจต้องขาดเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐาน การกระทำที่จะเป็นความผิดข้อหาเอาไปเสียซึ่งเอกสารของผู้อื่น จึงต้องเป็นการเอาเอกสารของผู้อื่นไปโดยพลการ มิใช่ครอบครองเอกสารนั้นไว้โดยความยินยอมของผู้อื่น

ผู้เสียหายยินยอมให้จำเลยเป็นผู้ครอบครองและเก็บรักษาต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านไว้ แม้ต่อมาผู้เสียหายไม่ประสงค์ให้จำเลยครอบครองเอกสารดังกล่าวไว้แทน จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องส่งมอบต้นฉบับสำเนาทะเบียนบ้านตามฟ้องคืนให้แก่ผู้เสียหาย แต่จำเลยไม่ยอมส่งมอบคืน อันเป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นการโต้แย้งสิทธิของผู้เสียหาย ก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องรับผิดในทางแพ่ง การกระทำของจำเลยไม่ถือว่าเป็นการซ่อนเร้น หรือเอาไปเสีย ซึ่งเอกสารของผู้อื่น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2128/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1745, 1746, 1748, 1750 วรรคหนึ่ง

ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า การแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้น อาจทำได้โดยทายาทต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัด หรือโดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้มาแบ่งปันกันระหว่างทายาท วรรคสอง บัญญัติว่า ถ้าการแบ่งมิได้เป็นไปตามวรรคก่อน แต่ได้ทำโดยสัญญา จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่ เว้นแต่จะมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใด ลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ ในกรณีเช่นนี้ให้นำมาตรา 850, 852 แห่งประมวลกฎหมายนี้ว่าด้วยประนีประนอมยอมความมาใช้บังคับโดยอนุโลม เห็นว่า การแบ่งปันทรัพย์มรดกนั้น ป.พ.พ. บรรพ 6 ลักษณะ 4 หมวด 3 บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ตามหลักกฎหมายดังกล่าวแบ่งได้ 3 วิธี กล่าวคือ 1) โดยทายาทต่างเข้าครอบครองเป็นส่วนสัด ด้วยการแบ่งตัวทรัพย์ตามความยินยอมโดยตรงหรือโดยปริยายและต่างเข้าครอบครองตามทรัพย์มรดกที่ได้รับแบ่งนั้น กรณีนี้ไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือก็บังคับได้ 2) โดยการขายทรัพย์มรดกแล้วเอาเงินที่ขายได้แบ่งปันกันระหว่างทายาท กรณีเกิดจากทายาทผู้มีสิทธิในทรัพย์มรดกไม่อาจแบ่งตัวทรัพย์กันได้ การขายอาจตกลงกันว่าให้ประมูลกันระหว่างทายาท หรือประกาศขายหรือถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ต้องนำคดีมาฟ้องเรียกให้แบ่งมรดกโดยขอให้ศาลพิพากษาให้แบ่งระหว่างเจ้าของรวม ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1364 และ 3) การแบ่งปันทรัพย์มรดกโดยสัญญาที่มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดหรือตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ มิเช่นนั้นจะฟ้องร้องบังคับคดีหาได้ไม่ เมื่อโจทก์ยืนยันตามที่บรรยายฟ้องว่า ฉ. และ ล. ในฐานะผู้จัดการมรดกได้นัดประชุมทายาทโดยธรรมของ พ. เพื่อแบ่งปันทรัพย์มรดก ในวันนัดมีโจทก์ และทายาททุกคนยกเว้นจำเลยมาประชุมโดยพร้อมกัน ที่ประชุมตกลงให้มีการจับฉลากแบ่งทรัพย์มรดกให้แก่ทายาททุกคนในสัดส่วนเท่า ๆ กัน เมื่อจำเลยไม่มาประชุม ที่ประชุมจึงมอบหมายให้ ล. เป็นผู้จับฉลากแทน เมื่อการแบ่งปันทรัพย์มรดกโดย ฉ. และ ล. ในฐานะผู้จัดการมรดกนั้น มิชอบด้วย ป.พ.พ. บรรพ 6 ลักษณะ 4 หมวด 3 ที่บัญญัติไว้โดยเฉพาะตามหลักกฎหมายข้างต้น แม้ ฉ. และ ล. ในฐานะผู้จัดการมรดกจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์แล้ว ที่พิพาทก็ยังเป็นทรัพย์มรดกที่ยังไม่ได้แบ่งซึ่งจำเลยผู้เป็นทายาทด้วยกันย่อมมีส่วนกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทเท่ากันตาม ป.พ.พ. มาตรา 1745, 1746 และย่อมมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่พิพาทได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1360 วรรคหนึ่ง โจทก์ไม่อาจอ้างความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ฟ้องขับไล่และเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ กรณีตามคำฟ้องถือว่ายังไม่มีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิหรือหน้าที่ของจำเลยต่อโจทก์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 55 ทั้งข้ออ้างอันเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องมิใช่เรื่องขอแบ่งมรดกในอันที่ศาลจะพิจารณาพิพากษาให้ได้ เพราะเป็นการเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากที่ปรากฏในคำฟ้อง ซึ่งต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

« »
ติดต่อเราทาง LINE