คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2567

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8082

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8082/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (11), 130, 131

ป.วิ.อ. มาตรา 2 (11) "การสอบสวน" หมายความถึงการรวบรวมพยานหลักฐานและการดำเนินการทั้งหลายอื่นตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ซึ่งพนักงานสอบสวนได้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหา เพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อจะเอาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษ ซึ่งกฎหมายไม่ได้บัญญัติบังคับว่าพนักงานสอบสวนต้องทำอย่างไรหรือต้องระบุรายละเอียดอย่างไรหรือต้องสอบปากคำบุคคลใดบ้างเป็นพยาน กฎหมายให้เป็นดุลพินิจของพนักงานสอบสวนให้ทำไปเกี่ยวกับความผิดที่กล่าวหาเพื่อที่จะทราบข้อเท็จจริงหรือพิสูจน์ความผิดและเพื่อจะหาตัวผู้กระทำผิดมาฟ้องลงโทษเท่านั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8040

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8040/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 377

การกระทำอันจะเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 377 ต้องได้ความว่า ผู้กระทำความผิดต้องเป็นผู้ควบคุมสัตว์ดุหรือสัตว์ร้ายแล้วปล่อยปละละเลยให้สัตว์นั้นเที่ยวไปโดยลำพังในประการที่อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ ซึ่งการควบคุมสัตว์ดุหรือสัตว์ร้ายมีวิธีการควบคุมที่แตกต่างกันไปตามสภาพและประเภทของสัตว์ สำหรับสุนัขแม้เป็นสัตว์เลี้ยงของมนุษย์แต่ก็อาจมีนิสัยดุร้ายได้โดยธรรมชาติ เนื่องจากสุนัขเลี้ยงมีต้นกำเนิดมาจากสุนัขป่าจึงยังคงมีสัญชาตญาณดิบในการเป็นนักล่าและนักต่อสู้อยู่ในตัวทำให้บางครั้งสุนัขมีพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรง การจะควบคุมพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงของสุนัขได้นั้น ผู้ควบคุมจึงต้องอยู่ใกล้ชิดตัวสุนัขจนสามารถควบคุมสิ่งที่มากระตุ้นพฤติกรรมของสุนัข ช่วยลดทอนความก้าวร้าวของสุนัข และแยกสุนัขออกจากเหยื่อ ไม่ว่าด้วยการใช้แรงกายหรืออุปกรณ์ในการบังคับตัวสุนัข การออกคำสั่ง หรือการลงโทษ ดังนั้น ผู้ควบคุมสัตว์ดุตามความหมายของ ป.อ. มาตรา 377 ต้องถือตามความเป็นจริง โดยผู้ควบคุมต้องอยู่ในสถานะที่สามารถควบคุมสุนัขได้ในขณะสุนัขออกเที่ยวไปแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงในประการที่อาจทำอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ขณะเกิดเหตุจำเลยป่วยด้วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ต้องนอนพักรักษาตัวที่โรงพยาบาล จึงมอบหมายให้ ส. เลี้ยงและดูแลสุนัขของจำเลยแทน แม้จำเลยเพียงแต่ฝากให้ ส. เลี้ยงดูสุนัขเป็นการชั่วคราวโดยมิได้กำชับให้ ส. ใช้ความระมัดระวังในการควบคุมดูแลสุนัขไม่ให้ไปสร้างความเดือดร้อนรำคาญแก่ผู้อื่นก็ตาม ก็ถือเป็นความบกพร่องในฐานะที่จำเลยเป็นเจ้าของสุนัขเท่านั้น แต่ในฐานะผู้ควบคุมสุนัขแล้ว จำเลยไม่ได้อยู่ใกล้ชิดตัวสุนัขของจำเลยจนสามารถใช้แรงกายหรืออุปกรณ์ในการบังคับตัวสุนัข ออกคำสั่ง หรือลงโทษสุนัขเพื่อป้องกันหรือห้ามปรามมิให้สุนัขเที่ยวไปแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวและรุนแรงกัดแกะของผู้เสียหายจนถึงแก่ความตายได้ จำเลยจึงไม่อยู่ในฐานะเป็นผู้ควบคุมสัตว์ในขณะเกิดเหตุ การกระทำของจำเลยตามฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดตาม ป.อ. มาตรา 377 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องในความผิดฐานนี้มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7504

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7504/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 177, 225 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 7, 26

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกู้ยืมเงินตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 จำเลยให้การว่าเคยกู้ยืมเงินโจทก์เมื่อเดือนพฤษภาคม 2555 และเดือนกรกฎาคม 2556 แต่ชำระหนี้โจทก์หมดสิ้นแล้วนั้น แม้การยื่นคำให้การในคดีผู้บริโภคจะไม่เคร่งครัดเพราะตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 26 บัญญัติว่า ในกรณีที่จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือ หากศาลเห็นว่าคำให้การดังกล่าวไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญบางเรื่อง ศาลอาจมีคำสั่งให้จำเลยแก้ไขคำให้การในส่วนนั้นให้ถูกต้องหรือชัดเจนขึ้นก็ได้เท่านั้น แต่การจะให้การรับหรือปฏิเสธคำฟ้องโจทก์ส่วนไหนอย่างไรย่อมเป็นเจตนาอิสระของคู่ความ หาใช่หน้าที่ของศาลที่จะต้องทวงถามให้จำเลยให้การในส่วนนี้ไม่ ทั้งมิใช่กรณีคำให้การไม่ถูกต้องหรือขาดสาระสำคัญ เมื่อจำเลยไม่ปฏิเสธการกู้ยืมเงินตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 จึงถือว่าจำเลยยอมรับว่าได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามสัญญากู้ดังกล่าวในฟ้องแล้ว แม้จำเลยจะนำสืบในชั้นพิจารณาว่า จำเลยไม่ได้กู้เงินและไม่ได้รับเงินกู้ตามสัญญากู้ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557 แต่เป็นการที่โจทก์นำมูลหนี้กู้ยืมที่ระงับแล้วมาฟ้องเป็นคดีนี้ ก็เป็นการนำสืบนอกประเด็นที่ต่อสู้ในคำให้การ ข้อเท็จจริงที่จำเลยอ้างมาในชั้นอุทธรณ์ว่า โจทก์นำยอดเงินในสัญญากู้ฉบับก่อนมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามอุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7212

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7212/2567

ประมวลกฎหมายอาญา ม. 264, 268 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 216 พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ม. 17, 25 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 4, 22, 22 ทวิ

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ตาม ป.อ. มาตรา 264, 268 ซึ่งแต่ละฐานความผิดมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ คดีจึงอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลชั้นต้นที่เป็นศาลแขวง ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17 ประกอบมาตรา 25 จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 22 ทวิ โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่รับวินิจฉัยและพิพากษายกอุทธรณ์โจทก์เพราะเหตุดังกล่าว โจทก์ไม่ได้ฎีกาโต้แย้งว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาไม่ชอบอย่างไร แต่โจทก์ฎีกาทำนองเดียวกับอุทธรณ์ว่า พยานหลักฐานของโจทก์มีมูลขอให้ประทับฟ้องจำเลยที่ 1 ในข้อหาดังกล่าวไว้พิจารณา ฎีกาของโจทก์จึงไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 216 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6964

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6964/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 321 วรรคหนึ่ง, 656 วรรคสอง

การเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 656 วรรคสอง อันจะทำให้หนี้ระงับไปตามมาตรา 321 วรรคหนึ่ง นั้น จะต้องปรากฏว่าผู้ให้กู้ให้ความยินยอมในการเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมและต้องมีการตกลงกันว่าสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นที่นำมาชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมนั้นมีราคาเท่ากับราคาในท้องตลาดในเวลา ณ สถานที่ส่งมอบนั้นเท่าใดหรือไม่ด้วยเพื่อจะได้ทราบว่าหนี้เงินกู้ยืมระงับไปเป็นจำนวนเท่าใด

จำเลยกู้เงินโจทก์โดยนำรถยนต์มาเป็นหลักประกัน และตามสัญญากู้เงินมีข้อตกลงว่า หากผู้กู้ผิดนัดผิดสัญญา และผู้ให้กู้ได้บอกกล่าวทวงถามแล้ว แต่ผู้กู้เพิกเฉย ผู้กู้ตกลงให้ผู้ให้กู้ยึดรถยนต์คันดังกล่าวเพื่อนำไปขายทอดตลาดหรือให้ผู้ให้กู้บังคับเอาแก่หลักประกันด้วยวิธีอื่นใดเพื่อนำเงินที่ได้จากการขายหรือบังคับเอาแก่หลักประกันมาชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินได้ หากผู้ให้กู้ขายรถหรือใช้สิทธิบังคับเอาแก่หลักประกันแล้วยังไม่พอชำระหนี้ที่ค้างชำระ ผู้กู้ยอมรับผิดชดใช้เงินให้แก่ผู้ให้กู้จนกว่าจะครบถ้วน เมื่อจำเลยผิดนัดผิดสัญญาไม่สามารถชำระหนี้เงินกู้ให้แก่โจทก์ได้ การที่จำเลยนำรถยนต์มามอบให้แก่โจทก์เพื่อดำเนินการตามสัญญากู้เงินต่อไปตามหนังสือแสดงเจตนา จึงมิใช่การเอาสิ่งของหรือทรัพย์สินอย่างอื่นเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมตาม ป.พ.พ. มาตรา 656 วรรคสอง แต่เป็นการส่งมอบรถยนต์เพื่อให้โจทก์นำรถยนต์ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามสัญญา เมื่อได้เงินไม่พอชำระหนี้จำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินส่วนที่ขาดให้แก่โจทก์จนครบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6901

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6901/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 654, 797 พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2560 ม. 4 (1)

เมื่อโจทก์รับว่าโจทก์มอบหมายให้จำเลยนำเงินไปให้บุคคลภายนอกกู้ยืมโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดแล้วนำผลประโยชน์มามอบให้ จำเลยจึงเป็นตัวแทนของโจทก์ในกิจการดังกล่าวตาม ป.พ.พ. มาตรา 797 กรณีเช่นนี้จึงไม่สามารถแยกต้นเงินออกจากดอกเบี้ยที่เรียกเก็บจากบุคคลภายนอกเกินอัตราที่กฎหมายกำหนดซึ่งตกเป็นโมฆะเช่นเดียวกับนิติกรรมกู้ยืมได้ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์มอบเงินให้จำเลยนำไปปล่อยให้บุคคลภายนอกกู้ยืมโดยคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย ซึ่งกฎหมายกำหนดห้ามมิให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละสิบห้าต่อปี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 654 และเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2560 มาตรา 4 (1) นิติกรรมระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะ การที่โจทก์มอบเงินให้จำเลยไปดำเนินการดังกล่าวจึงเป็นการชำระหนี้ฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายหรือศีลธรรมอันดี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 411 โจทก์จึงไม่อาจเรียกร้องให้จำเลยคืนเงินดังกล่าวได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6779

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6779/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 224 วรรคหนึ่ง, 383 วรรคหนึ่ง, 573

ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า ภายหลังจากจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อเพียงงวดเดียว จำเลยเป็นฝ่ายส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ โดยสัญญาเช่าซื้อมิได้มีข้อตกลงใดให้สิทธิจำเลยผู้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาด้วยการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ แต่การที่จำเลยไม่สามารถชำระหนี้ค่าเช่าซื้อตามสัญญาแก่โจทก์ และส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ภายหลังจากผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อ แสดงให้เห็นถึงเจตนาของจำเลยที่ต้องการเลิกสัญญาเช่าซื้อ และจำเลยลูกหนี้ที่ผิดนัดอาจใช้สิทธิเลิกสัญญาได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 ที่บัญญัติว่า ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง อันเป็นบทบัญญัติที่กำหนดสิทธิและวิธีการบอกเลิกสัญญาโดยผู้เช่าซื้อไว้เป็นการเฉพาะนอกเหนือจากการบอกเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. บรรพ 2 ลักษณะ 2 สัญญา หมวด 4 ดังนั้น การที่จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์โดยมีเจตนาเลิกสัญญา และโจทก์รับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนจากจำเลยไว้ถือได้ว่าสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดลงตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 โจทก์จึงชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยซึ่งประพฤติผิดสัญญารับผิดชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคารถยนต์ตามข้อตกลงในสัญญาได้ อย่างไรก็ตามข้อตกลงที่จำเลยจะรับผิดชำระค่าขาดราคาให้แก่โจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 10.4 มีลักษณะเป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้าอันเป็นเบี้ยปรับซึ่งหากสูงเกินส่วนศาลย่อมลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 วรรคหนึ่ง ส่วนที่โจทก์ขอดอกเบี้ยของค่าขาดราคาในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นั้น โจทก์อาศัยสิทธิเรียกร้องด้วยเหตุใดโจทก์มิได้แสดงไว้ให้แจ้งชัด จึงไม่อาจกำหนดดอกเบี้ยให้ตามที่โจทก์เรียกร้องมาได้ อย่างไรก็ตามเมื่อหนี้ค่าขาดราคาที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นหนี้เงิน จำเลยจึงต้องรับผิดดอกเบี้ยผิดนัด ตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6555

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6555/2567

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1172 วรรคหนึ่ง, 1195

แม้ ป.พ.พ. มาตรา 1172 วรรคหนึ่ง และข้อบังคับของบริษัทมิได้กำหนดรูปแบบในการประชุมของคณะกรรมการเพื่อมีมติเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นไว้ แต่เมื่อต้องมีการประชุมย่อมต้องหมายความว่า เป็นกรณีที่กรรมการของบริษัทต้องร่วมกันในการปรึกษาหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเกี่ยวกับเรื่องที่จะประชุมก่อนลงมติว่าจะเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นหรือไม่ ดังนั้น การที่ผู้คัดค้านที่ 1 มีหนังสือลงวันที่ 15 มกราคม 2563 แจ้งให้คณะกรรมการบริษัทลงมติเพื่อเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2563 และให้แจ้งกลับไปภายในวันที่ 22 มกราคม 2563 เพื่อสรุปผลการลงมติคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 23 มกราคม 2563 ซึ่งใช้เกณฑ์นับคะแนนในการลงมติ 1 เสียง ต่อกรรมการ 1 คน โดยหนังสือดังกล่าวไม่ได้ระบุให้มีการนัดเรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อขอมติที่ประชุมคณะกรรมการเสียงข้างมากให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันดังกล่าวด้วย กรณีจึงมิใช่เป็นการนัดเรียกประชุมคณะกรรมการเพื่อลงมติให้มีการเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ทั้งไม่มีการประชุมปรึกษาของคณะกรรมการในเรื่องดังกล่าว เช่นนี้ แม้ผู้ร้องจะได้รับหนังสือแจ้งให้ลงมติเพื่อเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2563 และผู้คัดค้านทั้งสองจะเบิกความว่า มีการประชุมคณะกรรมการในวันที่ 23 มกราคม 2563 ด้วย ก็ไม่อาจรับฟังได้ว่าเป็นการนัดเรียกประชุม การประชุม และการลงมติของคณะกรรมการให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2563 โดยชอบ ส่วนประกาศให้ประชุมคณะกรรมการบริษัทในวันที่ 23 ของทุกเดือน ประกาศกำหนดวันนัดดังกล่าวเป็นเพียงประมาณการวันนัดประชุมคณะกรรมการเท่านั้น เพราะยังอาจมีการเลื่อนหรืองดประชุมได้ ทั้งเป็นการประชุมเกี่ยวกับการบริหารงานทั่ว ๆ ไปของบริษัท ไม่อาจหมายความรวมถึงการประชุมคณะกรรมการเพื่อมีมติเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในมาตรา 1172 วรรคหนึ่ง ด้วย ดังนั้น เมื่อมติคณะกรรมการเสียงข้างมากที่ให้เรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2563 ไม่ชอบด้วยกฎหมายและข้อบังคับของบริษัทแล้ว ย่อมทำให้การนัดเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2563 ตลอดจนการประชุมและการลงมติที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาเป็นการไม่ชอบด้วยเช่นกัน กรณีจึงมีเหตุให้เพิกถอนการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นและมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2563 เมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2563

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6542

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6542/2567

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 180 พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ.2551 ม. 7, 24, 32, 39, 42

พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 และข้อกำหนดของประธานศาลฎีกามิได้บัญญัติเรื่องการแก้ไขคำให้การไว้โดยเฉพาะ จึงต้องนำ ป.วิ.พ. มาตรา 180 มาใช้บังคับโดยอนุโลมตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 แต่การพิจารณาคดีผู้บริโภคมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการแจ้งประเด็นข้อพิพาทและกำหนดให้คู่ความฝ่ายใดนำพยานมาสืบก่อนหลังเป็นการเฉพาะแล้วตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 32 แตกต่างจากคดีแพ่งสามัญที่มีการชี้สองสถาน จึงไม่ต้องนำบทบัญญัติแห่ง ป.วิ.พ. ในเรื่องชี้สองสถานมาปรับใช้ในคดีผู้บริโภคอีก เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า ในวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 ศาลชั้นต้นนัดพิจารณาเพื่อการไกล่เกลี่ยให้การ และสืบพยาน แต่คู่ความมีความประสงค์จะเจรจาไกล่เกลี่ยกัน ศาลชั้นต้นให้เลื่อนไปนัดไกล่เกลี่ย แต่คู่ความไม่สามารถตกลงกันได้ ศาลชั้นต้นจึงนัดพร้อมในวันที่ 22 กรกฎาคม 2562 โดยไม่ได้นัดสืบพยาน เมื่อถึงวันนัดพร้อม จำเลยยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การ การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบในคดีผู้บริโภคในวันนัดพร้อมจึงถือไม่ได้ว่าเป็นการชี้สองสถานตาม ป.วิ.พ. และเมื่อวันนัดพร้อมมิใช่วันนัดสืบพยาน การที่จำเลยยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมคำให้การในวันดังกล่าว จึงเป็นการยื่นก่อนวันนัดสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วันแล้ว

การที่จำเลยก่อสร้างบ้านพักไม่ได้มาตราฐาน ทำให้ผู้บริโภคต้องว่าจ้าง ส. แก้ไขซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดจากการก่อสร้างของจำเลยเป็นการก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้บริโภค เมื่อค่าเสียหายที่โจทก์เรียกร้องไม่เพียงพอต่อการแก้ไขเยียวยาความเสียหายตามฟ้องแก่ผู้บริโภคตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 39 จึงเห็นควรกำหนดค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์ให้แก่ผู้บริโภคจากการที่ไม่สามารถเข้าพักอาศัยในบ้านพักหรือนำออกหาประโยชน์อย่างอื่นได้ตั้งแต่วันครบกำหนดตามสัญญาก่อสร้างบ้านพักอาศัย ถึงวันที่ 7 กันยายน 2558 อันเป็นวันที่ ส. แก้ไขซ่อมแซมและก่อสร้างเสร็จและต้องรับผิดค่าว่าจ้าง ส. แก้ไขซ่อมแซมงานก่อสร้างซึ่งเป็นค่าเสียหายโดยตรงจากการทำละเมิดและผิดสัญญาของจำเลยด้วย

นอกจากโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยผิดสัญญาก่อสร้างบ้านพักอาศัยแล้ว โจทก์ยังกล่าวในคำฟ้องว่า จำเลยก่อสร้างบ้านพักโดยไม่ได้รับใบอนุญาตและไม่ได้มาตรฐานทางวิศวกรรมหลายรายการ เป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ผู้บริโภค ทำให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีคำสั่งระงับการก่อสร้างจนกว่าจะได้รับใบอนุญาตและมีคำสั่งห้ามใช้อาคาร เมื่อผู้บริโภคแจ้งให้จำเลยยื่นคำร้องรับใบอนุญาตก่อสร้างตามสัญญาและให้แก้ไขแบบแปลน จำเลยไม่สามารถแก้ไขให้ถูกต้อง ผู้บริโภคต้องมอบหมายบุคคลอื่นดำเนินการจนเจ้าพนักงานออกใบอนุญาตก่อสร้างให้ แสดงให้เห็นว่าจำเลยจงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย เป็นการกระทำละเมิดอีกส่วนหนึ่งด้วย เมื่อจำเลยเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีวัตถุประสงค์ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างประเภทต่าง ๆ และเป็นที่ปรึกษางานวิศวกรรมและการบริหารโครงการทุกประเภท ย่อมสร้างความไว้วางใจและความคาดหวังของประชาชนว่าเป็นผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างทุกประเภทได้ถูกต้องตามหลักวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม เมื่อผู้บริโภคตกลงว่าจ้างจำเลยก่อสร้างแบบครบวงจร แต่จำเลยกลับไม่เตรียมแบบก่อสร้างและยื่นคำขอใบอนุญาตก่อสร้างให้ถูกต้องตามสัญญา ดำเนินการก่อสร้างไปก่อนยื่นคำขอใบอนุญาตก่อสร้าง และก่อสร้างไม่ได้มาตรฐานในส่วนสำคัญหลายรายการ อันอาจก่อให้เกิดอันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อยู่อาศัย จนเจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องมีคำสั่งให้ระงับการก่อสร้างรวมทั้งห้ามใช้อาคารจนกว่าจะได้รับอนุญาตเป็นเหตุให้ผู้บริโภคบอกเลิกสัญญาและว่าจ้างบุคคลอื่นมาดำเนินการแก้ไขและก่อสร้างต่อจนแล้วเสร็จ อันเป็นการจงใจไม่ปฏิบัติตามสัญญาก่อสร้างอาคารพิพาทมาตั้งแต่ต้น มีเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น และเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เพื่อมิให้จำเลยหรือผู้ประกอบธุรกิจในลักษณะเดียวกับจำเลยเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่คำนึงถึงความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งเป็นการป้องปรามมิให้ผู้ประกอบธุรกิจเช่นจำเลยกระทำต่อผู้บริโภคอื่นอีก จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษให้จำเลยชดใช้แก่ผู้บริโภคตาม พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5854

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5854/2567

พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2560 ม. 165 วรรคหนึ่ง

คดีนี้ฟ้องโจทก์บรรยายถึงการกระทำความผิดของจำเลยฐานช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสีย ซื้อ หรือรับไว้โดยประการใด ซึ่งบุหรี่ของกลางอันเป็นสินค้าที่ได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร และบรรยายฟ้องตอนท้ายว่าจำเลยใช้รถยนต์ของกลางดังกล่าวในการบรรทุกซ่อนเร้นและขนย้ายบุหรี่ของกลางที่ยังมิได้เสียภาษีและมิได้ผ่านพิธีการศุลกากร เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพทั้งจำเลยฎีกายอมรับว่าเก็บบุหรี่ของกลางไว้ภายในตู้ลำโพงภายในห้องโดยสารรถยนต์ที่จำเลยตกแต่งเพิ่มเติมเพื่อการประกวดแข่งขันเครื่องเสียงติดรถยนต์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยใช้รถยนต์ของกลางในการซ่อนเร้นขนย้ายบุหรี่ของกลาง ประกอบกับการขนย้ายบุหรี่ของกลาง 200 ซอง จากนอกราชอาณาจักรเข้ามาในราชอาณาจักรหรือมีบุหรี่ของกลางที่ยังมิได้เสียภาษีไว้ในครอบครองดังกล่าว หากไม่มีรถยนต์ของกลางบรรทุกบุหรี่ของกลางจำนวนมากถึง 200 ซอง ย่อมไม่สามารถขนย้ายบุหรี่ของกลางจำนวนดังกล่าวให้รอดพ้นจากการตรวจตราของเจ้าหน้าที่ได้สำเร็จ ลักษณะการกระทำความผิดของจำเลยมิใช่เป็นการใช้รถยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะในการสัญจรตามปกติโดยทั่วไป แต่เป็นการใช้รถยนต์ของกลางเป็นยานพาหนะในการกระทำความผิดโดยใช้ซ่อนเร้นและขนย้ายบุหรี่ของกลางอันพึงต้องริบตาม พ.ร.บ. ศุลกากร พ.ศ. 2560 มาตรา 165 วรรคหนึ่ง

« »
ติดต่อเราทาง LINE