
ถูกข่มขืนใจจนต้องทำผิด ใช้เป็นข้อต่อสู้ได้ไหม
ในความเป็นจริง หลายครั้ง การกระทำความผิดทางอาญา ผู้กระทำไม่ได้อยากกระทำความผิด แต่ทำเพราะถูกบังคับให้ทำ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ถูกบังคับทางกาย หรือถูกบังคับทางใจ กฎหมายมีหลักเกณฑ์สำหรับยกเว้นโทษให้ผู้กระทำความผิดเหล่านั้น

ถ้าถูกข่มขืนใจจนต้องทำผิด เราอ้างได้แค่ไหน ?
กรณีที่ 1 กระทำต่อผู้ที่เป็นต้นเหตุ ซึ่งจะมีเรื่องการป้องกัน และบันดาลโทษะ
หากเราทำต่อต้นเหตุ ซึ่งอาจเป็นคนหรือไม่ใช่ก็ได้ ถ้าเราทำเพื่อป้องกันสิทธิของเราหรือของผู้อื่นให้พ้นอันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นอันตรายที่ใกล้จะถึง เราสามารถอ้างว่าเราป้องกันเพื่อหาเราพ้นความผิด โดยมีหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68 ซึ่งบัญญัติว่า
ผู้ใดจำต้องกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนหรือของผู้อื่นให้พ้นภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ การกระทำนั้นเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย ผู้นั้นไม่มีความผิด
หมายความว่า หากเรากระทำการ ซึ่งเป็นความผิดอาญา เพื่อ ป้องกันสิทธิของเราหรือผู้อื่น ซึ่งเป็นสิทธิตามกฎหมาย ให้พ้นอันตรายที่เกิดจากผู้อื่น ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเมิดกฎหมาย เช่น เขาจะฆ่าเรา แล้วอันตรายนั้นใกล้มาถึงแล้ว ถ้าเรากระทำพอสมควรแก่เหตุ เราไม่ต้องเราผิด เช่น เราถูกคนอื่นถือมีดวิ่งไล่แทง แล้วเราหยิบมีดจากพื้นมาแทงเขา แม้เขาตาย แต่ถ้าเราแทงไปเพื่อให้เขาหยุด อย่างแทงแค่ครั้งเดียว แต่เข้าจุดตาย เนื่องจากสถานการณ์เร่งด่วนเพราะเขาวิ่งมาจะแทงเรา เราเล็งไม่ได้ แบบนี้เราทำสมควรแก่เหตุ อ้างป้องกันเพื่อยกเว้นความผิดได้
แต่ถ้าเราทำเกินแก่เหตุ
แต่ถ้าเราทำเกินแก่เหตุ เช่นกรณีตัวอย่างข้างต้น เราแทงสวน เขาหยุดแล้ว เราก็แทงซ้ำจนเขาตาย แบบนี้เราทำเกินสมควรแก่เหตุ เพราะแทงไปแล้วครั้งเดียว เขาทำอันตรายเราไม่ได้แล้ว อันตรายผ่านพ้นไปแล้ว จะอ้างป้องกันเพื่อยกเว้นความผิดไม่ได้ แต่ตามมาตรา 69 บัญญัติว่า “ในกรณีที่บัญญัติไว้ในมาตรา 67 และมาตรา 68 นั้น ถ้าผู้กระทำได้กระทำไปเกินสมควรแก่เหตุ หรือเกินกว่ากรณีแห่งความจำเป็น หรือเกินกว่ากรณีแห่งการจำต้องกระทำเพื่อป้องกัน ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้ แต่ถ้าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากความตื่นเต้น ความตกใจ หรือความกลัว ศาลจะไม่ลงโทษผู้กระทำก็ได้” หรือก็คือ ซึ่งก็คือถ้าเราป้องกัน แต่มันเกินสมควรแก่เหตุ แม้เราอ้างป้องกันเพื่อยกเว้นความผิดไม่ได้ก็จริง แต่การป้องกันที่เกินสมควร ศาลสามารถตัดสินลดโทษให้เราได้
⭐️ ปรึกษาทนายเบื้องต้นฟรี ง่ายๆผ่านทาง Free Q&A พร้อมคำตอบจากทนายความผู้เชี่ยวชาญ โดยไม่จำเป็นต้องระบุตัวตน
แต่ว่า ถ้าเราไม่ได้ทำเพื่อป้องกัน
แต่ว่า ถ้าเราไม่ได้ทำเพื่อป้องกัน อย่างอันตรายผ่านไปแล้ว แต่เราทำความผิดไปเพราะถูกข่มเหงมา กรณีแบบนี้อาจอ้างบันดาลโทษะเพื่อลดโทษได้ โดยมีหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ซึ่งบัญญัติว่า
ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้
หมายความว่า ถ้าเราทำความผิด เราจะอ้างว่าเราทำเพราะบันดาลโทษะ เพราะเราถูกข่มเหงร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ซึ่งอาจไม่ใช่กรณีที่เป็นที่ผิดกฎหมาย เช่นโดนด่าพ่อด่าแม่ แม้อาจไม่ใช่คำรุนแรง แต่พูดบ่อยๆ แล้วเราก็กระทำความผิดตอบโต้ในขณะนั้นเลย ต่อเนื่องจากการถูกข่มเหง
เช่น เราถูกข่มขืน แต่การข่มขืนจบลงแล้ว ผู้ข่มขืนปล่อยเรากลับ แต่เราก็อาศัยจังหวะที่เขาเผลอ ทำร้านหรือฆ่าเขา แบบนี้ เราอ้างป้องกันไม่ได้ เพราะการที่เขาปล่อยเรากลับ แสดงว่าเราพ้นภัยแล้ว แต่การถูกข่มขืน เป็นการข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรมอย่างร้ายแรง เราอ้างว่าเราทำไปเพราะบันดาลโทษได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2373/2544
การกระทำการใดเพื่อป้องกันสิทธิของตนที่จะถือว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย สิทธิอันบุคคลมีอยู่นั้นต้องเป็นสิทธิที่กฎหมายรับรองและคุ้มครองให้ด้วย การที่จำเลยยิงผู้เสียหายขณะที่ผู้เสียหายลักลอบหลับนอน ร่วมประเวณีกับ ส. ซึ่งมิได้เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย และข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่ามีภยันอันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมายต่อ ส. การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงไม่เป็นการป้องกันสิทธิโดยชอบ
เรื่องของฎีกานี้คือ จำเลยยิงผู้เสียหาย เพราะผู้เสียแอบมาหลับนอนกับ ส. ซึ่งมิใช่ภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของจำเลย จำเลยจึงไม่ใช่สามีตามกฎหมายของ ส. จึงอ้างว่าการเห็นผู้ชายอื่นมาหลับนอนกับ ส. เป็นการที่สิทธิของตนถูกละเมิดไม่ได้
การที่ถูกข่มขืนใจ อย่างการเห็นสิ่งที่ไม่อยากเห็น อย่างกรณีข้างต้นที่มีคนอื่นมาแอบหลับนอนกับคนรัก การที่เราจะอ้างว่าเราทำความผิดเพราะถูกข่มขืนใจ สิทธิถูกละเมิด สิทธิที่เราอ้างมันต้องชอบด้วยกฎหมายด้วย

กรณีที่ 2 ไม่ได้กระทำต่อต้นเหตุให้เรากระทำความผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญา หากผู้กระทำความผิด แม้กระทำไปเพราะถูกบังคับขืนใจ ผู้นั้นก็มีความผิดตามกฎหมายาอาญาอยู่ดี เพราะแม้ว่าคุณจะโดนขืนใจให้ทำ แต่คุณก็เลือกที่จะทำ คุณมีเจตนาที่จะทำผิด รู้สำนึกว่าตัวเองทำอะไรแม้ว่าเจตนาจะเกิดเพราะถูกบังคับก็ตาม แต่ประมวลกฎหมายอาญา ได้คุ้มครองบุคคลเหล่านี้ ด้วยการลดโทษหรือยกเว้นโทษให้ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 67 ซึ่งบัญญัติว่า
ผู้ใดกระทำความผิดด้วยความจำเป็นเพราะอยู่ในที่บังคับ หรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ หรือ
เพราะเพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นพ้นจากภยันตรายที่ใกล้จะถึงและไม่สามารถหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นใดได้ เมื่อภยันตรายนั้นตนมิได้ก่อให้เกิดขึ้นเพราะความผิดของตน ถ้าการกระทำนั้นไม่เป็นการเกินสมควรแก่เหตุแล้ว ผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ
หมายความว่า เมื่อการกระทำของเราเป็นความผิด แต่เราพิสูจน์ได้ว่า เราทำผิดเพราะเราถูกบังคับหรืออยู่ภายใต้อำนาจ ซึ่งเราหลีกเลี่ยงขัดขืนไม่ได้ โดยที่ต้นเหตุที่บีบให้เราทำผิดนั้นเราไม่ได้เป็นคนก่อจนเป็นต้นเหตุ เราหรือ เพื่อให้ตัวเองหรือคนอื่นรอดพ้นจากอันตรายที่ใกล้มาถึงซึ่งหลีกเลี่ยงให้พ้นโดยวิธีอื่นไม่ได้ ซึ่งอาจเป็นภัยธรรมชาติก็ได้ โดยที่ต้นเหตุที่บีบให้เราทำผิดนั้นเราไม่ได้เป็นคนก่อจนเป็นต้นเหตุ
ถ้าเรากระทำความผิดที่สมควรแก่เหตุ ศาลก็จะยกเว้นโทษให้ เช่น เราถูกปืนจ่อหัว สั่งให้ยิงหัวผู้เสียหายที่ถูกมัด ถ้าเราไม่ยิง เขาจะยิงเราแทน แล้วเราก็ยิงไปที่หัวตามที่เขาสั่ง แบบนี้ กฎหมายจะถือว่าเรามีความผิดฐานฆ่าคน เพราะเรายิงจากเจตนาของเราเอง ซึ่งก็เพื่อให้ตัวเอง แต่เราอ้างได้ว่าเป็นเหตุจำเป็น เพราะถ้าไม่ฆ่า เราก็โดนฆ่า การฆ่าของเราสมควรแก่ความรุนแรงของภัยที่เราเจอ ศาลก็จะยกเว้นโทษให้เราไม่ต้องรับโทษ แต่ถ้าเราไปยิงคนที่ขู่เราแทน แบบนี้จะเป็นการป้องกัน ศาลจะยกเว้นความผิดให้เรา ถือว่าเราไม่ได้ทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 68
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6965-6966/2546
จำเลยเป็นลูกจ้างประจำของกรมการศาสนา เป็นผู้ติดต่อกับผู้เช่าที่ดินวัดร้าง การที่จำเลยนำใบเสร็จรับเงินค่าเช่าที่ดินวัดร้างที่จำเลยทำปลอมขึ้นไปเก็บเงินจากผู้เช่า ต้องถือว่าจำเลยรับเงินไว้แทนกรมการศาสนา มิใช่รับไว้แทนผู้เช่าเพื่อนำไปมอบให้กรมการศาสนา เมื่อจำเลยนำเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวย่อมเป็นการยักยอกเงินของกรมการศาสนา กรมการศาสนาจึงเป็นผู้เสียหายมีอำนาจร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีแก่จำเลยในความผิดฐานยักยอกได้
การที่จำเลยอ้างถึงการเอาเงินของกรมการศาสนาไปเพราะต้องการนำไปใช้รักษาบิดามารดาว่าเป็นการกระทำความผิดด้วยความจำเป็นนั้น เห็นได้ว่า กรณีมิใช่จำเลยอยู่ในที่บังคับหรือภายใต้อำนาจซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือขัดขืนได้ และมิใช่กรณีที่มีภยันตรายที่ใกล้จะถึงแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงหาใช่การกระทำความผิดด้วยความจำเป็นที่จะได้รับการยกเว้นโทษตาม ป.อ. มาตรา 67 ไม่ใบเสร็จรับเงินค่าเช่าเป็นหลักฐานแห่งการระงับสิทธิของผู้ให้เช่าในการเรียกเก็บเงินค่าเช่าจากผู้เช่า จึงเป็นเอกสารสิทธิตาม ป.อ. มาตรา 1 (9) มิใช่เอกสารราชการตามมาตรา 1 (8) เพราะไม่ใช่เอกสารซึ่งเจ้าพนักงานได้ทำขึ้นหรือรับรองในหน้าที่…
เรื่องของฎีกานี้คือ จำเลยยักยอกเงินวัดไปรักษาพ่อแม่โดยอ้างว่าจำเป็น ศาลตัดสินว่ากรณีแบบนี้ไม่ถือว่าจำเลยทำผิดเพราะจำเป็น เนื่องจากกรณีแบบนี้ ศาลเห็นว่าจำเลยหลีกเลี่ยงการกระทำความผิดได้ ไม่ได้อยู่ในสภาพที่หลีกเลี่ยงไม่ทำแล้วจะมีภัย
🔎หาคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ผ่านทางระบบ ค้นหาฎีกา ของ Legardy
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 307/2489
จำเลยได้ถูกกระทำร้ายในขณะที่กำลังกินอาหารโดยจำเลยมิได้เป็นผู้ก่อให้เกิดขึ้น จำเลยวิ่งหนีจากเรือนหลังตะวันออกไปทางเรือนหลังที่ผู้ตายอยู่ ผู้ตายได้ทำการขัดขวางจำเลยในขณะที่มีคน 5-6 คนถือไม้วิ่งไล่ทำร้าย จำเลยอยู่อย่างกระชั้นชิดติดๆ กันไป นับได้ว่าจำเลยกำลังตกอยู่ในภยันตรายอันร้ายแรงทั้งเป็นเวลากระทันหันอันจะหลีกเลี่ยงไปทางอื่นให้ทันท่วงทีไม่ได้ จึงเป็นความจำเป็นของจำเลยที่จะต้องผ่านไปทางที่ผู้ตายขัดขวาง การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ที เพื่อหลบหนีภัยตามเหตุที่ปรากฏ จึงยังไม่พอสันนิษฐานว่า จำเลยจงใจเจตนาฆ่าผู้ตาย แต่เห็นว่าการกระทำของจำเลย “เกินสมควรแก่เหตุไปมาก” กล่าวคือเพียงแต่ผู้ตายขัดขวางมิให้ผ่านไป ถ้าจำเลยใช้กำลังหักโหมขืนเข้าไปก็ยังทำได้ มิบังควรต้องใช้อาวุธมีดแทงจนเกิดเป็นคดีฆาตกรรม
เรื่องของฎีกานี้คือ จำเลยถูกคนไม้ไล่ตี จำเลยจึงวิ่งหนี แต่มีคนมาขวาง การที่จำเลยใช้มีดแทงผู้ตาย 1 ครั้ง ศาลมองไม่ได้ว่าจำเลยตั้งใจฆ่าผู้ตาย แต่ทำไปเพราะจำเป็นต้องหนีจากการโดนทำร้าย แต่ศาลมองว่า จำเลยสามารถใช้กำลังผลักผู้ตายให้หลีกทางไปก็น่าจะเพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นถึงขั้นต้องใช้มีดแทง ศาลจึงตัดสินว่าจำเลยความผิดเกินแก่เหตุ ซึ่งก็สามารถลดโทษได้ตามที่ศาลเห็นสมควร
การที่เราทำความผิด ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้องทำ เช่น สถานการณ์ตามฎีกาข้างต้น แม้กฎหมายจะเปิดช่องให้ทำได้ แต่การที่จะทำแล้วให้ได้รับการยกเว้นโทษ เราต้องทำให้เบาที่สุดเท่าที่สถานการณ์จะเอื้อให้ทำได้ ไม่งั้นมันจะเป็นการทำที่เกินแก่เหตุ
สรุป
แม้การกระทำสิ่งที่เป็นความผิดอาญา จะไม่ควรทำ แต่หากอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก เราก็ควรต้องทำให้มันรุนแรงน้อยที่สุด แล้วกฎหมายก็จะช่วยเรา ให้เราได้รับความเป็นธรรม ให้เหมาะสมกับสิ่งที่เราเจอและสิ่งที่เราทำ
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ








