คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2518
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 673/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 138, 148
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยโอนที่ดินให้โจทก์ จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำวันนัดสืบพยานโจทก์ คู่ความแถลงรับว่าโจทก์ฟ้องจำเลยให้โอนที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 24 หมู่ที่ 12 ตำบลเมือง อำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย มาครั้งหนึ่งตามสำนวนคดีแพ่งแดงที่ 74/2515 ศาลพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี และมาฟ้องคดีนี้เพื่อให้จำเลยโอนที่ดินตามหนังสือ น.ส.3 เลขที่ 224 หมู่ที่ 12 ตำบลเมืองอำเภอเมืองเลย จังหวัดเลย แล้วคู่ความต่างแถลงไม่สืบพยานโดยท้ากันขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำหรือไม่ ดังนี้ คำแถลงรับของคู่ความดังกล่าวไม่มีข้อเท็จจริงอย่างใดที่จะให้ฟังว่าเป็นที่ดินแปลงเดียวกัน คดีของโจทก์จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ โจทก์ย่อมชนะคดีตามคำท้า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1036/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 164, 165, 172, 587
เมื่อ พ.ศ.2495 ย. สามีของจำเลยทำหนังสือจ้างโจทก์ให้ยกร่องสวนในที่ดินของ ย. ให้เสร็จภายใน 3 ปี และปลูกมะพร้าวกับคอยดูแล 5 ปี แล้วจะยกที่ดินตอนเหนือให้โจทก์ 3 ไร่ทำสัญญากันแล้วโจทก์ปลูกกระต๊อบอยู่ในที่ดินที่ตกลงกันไว้นี้ตลอดมา โจทก์ได้ปฏิบัติถูกต้องตามสัญญาแล้วเมื่อ พ.ศ.2499 ย. ได้ขอออกโฉนดที่ดินแปลงนี้ต่อมาเมื่อ พ.ศ.2507 ย. ได้ขอแบ่งแยกที่ดินด้านเหนือออกเป็นอีกโฉนดหนึ่งต่างหากมีเนื้อที่ 3 ไร่ เป็นการแสดงเจตนาว่าจะแบ่งแยกให้โจทก์ตามสัญญา การที่โจทก์อยู่ในที่ดินแปลงที่ตกลงกันนี้ตลอดมาโดย ย. ไม่ทักท้วงและไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินส่วนนี้นับแต่ครบกำหนดตามสัญญาทั้งยังได้ขอแบ่งแยกที่ดินเป็นอีกโฉนดหนึ่งต่างหากมีเนื้อที่ 3 ไร่ ตรงตามสัญญาเป็นการกระทำอันปราศจากเคลือบคลุมสงสัยตระหนักเป็นปริยายว่ายอมรับสภาพตามสิทธิเรียกร้องของโจทก์ตลอดมา อันเป็นเหตุให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 จนเมื่อก่อนโจทก์ฟ้องคดีนี้ราว 5 เดือน ย. ถึงแก่ความตายและจำเลยผู้เป็นทายาทปฏิเสธไม่ยอมรับรู้ ไม่ยอมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้โจทก์ตามสัญญาเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นจึงสิ้นสุดลง อายุความเริ่มนับใหม่ตั้งแต่นั้น ไม่ว่าจะเป็นอายุความ 10 ปี หรือ 2 ปี คดีโจทก์ก็ไม่ขาดอายุความในการฟ้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 373/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 49 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 4 (2)
โจทก์และจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยา มีภูมิลำเนาอยู่อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร แต่ไปติดต่อค้าขายซื้อสินค้าจาก ผ. ที่จังหวัดแพร่ ในการไปซื้อสินค้านี้โจทก์พักอยู่ที่บ้าน ผ. บางครั้งจำเลยที่ 1ไปพักด้วย ต่อมาโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีชู้และแยกกันอยู่ โดยจำเลยที่ 1 กลับไปอยู่ที่บ้านเดิมที่อำเภอมีนบุรี จังหวัดพระนคร แต่คงไปมาเกี่ยวกับการค้าที่จังหวัดแพร่ โดยพักค้างที่จังหวัดแพร่ โดยพักค้างที่บ้านญาติของโจทก์บ้าง ที่บ้าน ว. บ้าง ดังนี้แสดงว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 หาได้มีเจตนาที่จะถือเอาบ้านที่พักอยู่ที่จังหวัดแพร่เป็นถิ่นที่อยู่ไม่
โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยซึ่งมิได้มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลที่พิจารณาคดีโดยมิได้ขออนุญาตฟ้องต่อศาลนั้นไม่ได้
โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยโดยระบุตามคำฟ้องว่าจำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาลที่พิจารณาคดี เมื่อจำเลยที่ 2 ขอให้ศาลวินิจฉัยเรื่องเขตอำนาจศาล โดยอ้างว่าจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่นอกเขตศาล ดังนี้ การที่ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาต่อมาจนเสร็จสำนวน โดยมีคำสั่งคำร้องขอให้ชี้ขาดเบื้องต้นว่าจะได้ชี้ขาดในปัญหาดังกล่าวในคำพิพากษาจึงไม่ใช่เรื่องที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ฟ้องคดีแต่ประการใดหากแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 1 มีภูมิลำเนาอยู่แห่งใดซึ่งจะต้องฟังพยานหลักฐานให้เสร็จสิ้นกระแสความก่อนมีคำสั่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 368/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 428, 432
จำเลยทั้งสามกับ จ.จ้างเหมาให้ ฮ.สร้างตึกแถวให้คนละห้อง โดยต่างคนต่างจ้างและแยกกันทำสัญญาคนละฉบับ ฮ.ตอกเสาเข็มเพื่อก่อสร้างตึกแถวดังกล่าว ทำให้ตึกของโจทก์ซึ่งอยู่ในที่ข้างเคียงสั่นสะเทือนและแตกร้าวเมื่อจำเลยเป็นผู้เลือกหาผู้รับจ้าง และการก่อสร้างก็ต้องเป็นไปตามการงานที่จำเลยสั่งให้ทำตามข้อบังคับในสัญญาจ้าง จำเลยจึงต้องรับผิดเพื่อความเสียหายนั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 428 แต่เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้อง จ. ด้วย ศาลย่อมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันรับผิดเพียง 3 ใน 4 ของจำนวนค่าเสียหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 906/2518
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 221
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 ที่จะรับเป็นฎีกาได้จะต้องปรากฏว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกาผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นลงลายมือชื่อรับรองให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้ โดยให้เหตุผลว่าเนื่องจากจำเลยได้ยอมชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายไปแล้ว 5,000บาท กรณีมีเหตุที่ศาลสูงจะพึงใช้ดุลพินิจในทางที่เป็นคุณแก่จำเลยดังนี้ หาได้ยกเหตุว่าคดีมีปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดแต่ประการใดไม่ ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 932/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 475, 479, 1336
ช. ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทมาจากบริษัท อ. และขณะเดียวกัน ช. ได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าซื้อต่อไปจำเลยผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้ ช. เสร็จสิ้นแล้วแต่ ช. มิได้โอนทะเบียนรถคันพิพาทให้จำเลยต่อมาจำเลยได้ขายรถคันพิพาทให้โจทก์ โดยโจทก์ชำระราคาแก่จำเลยครบถ้วนแล้ว และโจทก์ได้นำรถคันพิพาทไปจ้างซ่อมเสียค่าจ้างซ่อมไปอีก แต่เนื่องจาก ช.ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่บริษัทอ. เกินกว่าสองงวด เป็นการผิดสัญญา พนักงานบริษัท อ. จึงได้ยึดรถคันพิพาทไปดังนี้เมื่อจำเลยไม่สามารถโอนรถคันพิพาทให้แก่โจทก์ได้โดยมิใช่ความผิดของโจทก์ เพราะการที่รถคันพิพาทถูกยึดไปนั้นเป็นสิทธิที่ชอบด้วยกฎหมายของบริษัท อ. เจ้าของที่แท้จริงโจทก์ไม่มีอำนาจที่จะโต้แย้งได้ ถือได้ว่าโจทก์ถูกรอนสิทธิ จำเลยต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 475 แม้จำเลยจะมิได้ประมาทเลินเล่อก็ตาม จำเลยต้องคืนราคารถคันพิพาทแก่โจทก์และการที่โจทก์ต้องซ่อมรถคันพิพาทเสียค่าซ่อมไปนั้น ก็ถือว่าเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่โจทก์ได้รับเนื่องมาจากที่โจทก์ถูกรอนสิทธิ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 553/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 21, 369, 1336, 1546
โจทก์ทั้งสองเป็นผู้เยาว์ บิดาตายไปแล้ว มารดาโจทก์ไปกู้เงินจำเลยและได้นำโฉนดที่ดินของโจทก์ไปให้จำเลยยึดถือไว้เป็นประกันโดยโจทก์รู้เห็นยินยอมกรณีเช่นนี้ไม่อยู่ใต้บทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1546 และตามพฤติการณ์ถือได้ว่ามารดาผู้ใช้อำนาจปกครองโจทก์ได้ให้ความยินยอมในการกระทำดังกล่าวนั้น ถึงแม้ว่าโจทก์มิใช่ผู้กู้เงินจากจำเลยจำเลยก็มีสิทธิที่จะยึดโฉนดของโจทก์ไว้จนกว่าจะได้รับชำระหนี้ครบถ้วนตามสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072/2518
พระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 ม. 71 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 84 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 15, 192, 195
กรณีการจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 นั้น ระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้ได้เอง โจทก์จะต้องกล่าวอ้างหรือนำสืบให้ศาลรู้ถึงระเบียบนั้นด้วย มิฉะนั้นศาลย่อมสั่งจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับไม่ได้
การที่ศาลชั้นต้นยกคำขอให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจขอ โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีอำนาจขอ และศาลต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีอำนาจขอแต่โจทก์มิได้นำสืบหรือแนบระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดมาท้ายฟ้องให้ศาลรู้ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ยกคำขอนั้นเสียได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 621/2518
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 326
กล่าวว่าหญิงเป็นคนสำเพ็งคนไม่ดี 5 ผัว 6 ผัว แม้กล่าวด้วยความหึงหวงสามีมิให้คบกับหญิงนั้นก็เป็นหมิ่นประมาท ตามมาตรา 326
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 616 - 617/2518
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 420, 425, 438, 442
เมื่อจะเกิดเหตุเป็นเวลาเริ่มมืดแล้วโจทก์ได้นำรถยนต์บรรทุกไปบรรทุกไม้สนมาจอดอยู่ที่ริมถนนเพื่อตรวจดูความเรียบร้อยของรถ และต่อสายไฟมาที่สาลี่พ่วงท้ายรถแต่ยังไม่ได้ติดหลอดไฟและเปิดไฟ ขณะกำลังต่อสายไฟอยู่รถยนต์บรรทุกน้ำมันของจำเลยได้วิ่งตามหลังรถยนต์บรรทุกอีกคันหนึ่งมาด้วยความเร็วสูงครั้นมาถึงตรงที่รถโจทก์จอดอยู่ มีรถเปิดไฟสว่างวิ่งสวนทางมาคนขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยไม่เห็นรถโจทก์ที่จอดอยู่เพราะมิได้เปิดไฟ จึงวิ่งเข้าชนรถสาลี่ของโจทก์ เป็นเหตุให้รถของโจทก์และของจำเลยเสียหาย โจทก์ได้รับบาดเจ็บและลูกจ้างคนหนึ่งของโจทก์ถึงแก่ความตาย เช่นนี้การที่รถโจทก์จำเลยเกิดชนกันขึ้น เป็นความประมาทเลินเล่อของทั้งสองฝ่าย และตามพฤติการณ์แห่งการละเมิดของทั้งสองฝ่ายมีความร้ายแรงพอๆ กัน โจทก์ในฐานะเป็นนายจ้างรถคันเกิดเหตุคันหนึ่งจึงต้องรับผิดในผลแห่งการละเมิดด้วยค่าสินไหมทดแทนตามที่โจทก์จำเลยต่างขอมาสมควรให้เป็นพับไปแก่ตนแต่จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในผลแห่งการละเมิดที่เกิดขึ้นแก่ลูกจ้างของโจทก์ซึ่งถึงแก่ความตายนั้นให้แก่มารดาผู้ตายครึ่งหนึ่งของค่าสินไหมทดแทนทั้งหมด