สิ่งที่ควรรู้ เมื่อโดนหมายเรียกคดีอาญา-ยาเสพติด.png
เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-15

สิ่งที่ควรรู้ เมื่อโดนหมายเรียกคดีอาญา-ยาเสพติด

สิ่งที่ควรรู้ เมื่อโดนหมายเรียกคดีอาญา-ยาเสพติด.png

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 25 วรรคหนึ่ง บัญญัติไว้ว่า ปวงชนชาวไทยย่อมมีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจ เรื่องการค้น การจับ การฝากขัง การออกหมายเรียก การออกหมายจับ การสอบสวน และสิทธิของผู้ถูกจับ ผู้ต้องหา ต้องเป็นไปตามหลักการด้านสิทธิมนุษยชนในกระบวนการยุติธรรม และตามกฎหมาย

อย่างไรก็ดี ประเทศไทยได้ยินยอมผูกพันตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนหลายฉบับ โดยเฉพาะกติการะหว่างประเทศเกี่ยวกับสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ได้มีหลักการเกี่ยวกับการประกันความเสมอภาคของมนุษย์ เช่น ห้ามไม่ให้มีการกระทำโดยทารุณโหดร้าย ห้ามจับกุมขังบุคคลโดยพลการ ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยก็มีการดำเนินการเกี่ยวกับสิทธิของผู้ต้องหา ผู้ถูกจับ จำเลย หรือผู้เสียหาย ตามที่ได้มีการบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ดังนั้น การที่บุคคลถูกเจ้าหน้าที่ของรัฐเรียกให้ไปพบ โดยเฉพาะในกรณีพนักงานสอบสวนได้ออกหมายเรียกในคดีอาญาให้ไปพบ ต้องเตรียมตัวยังไง และมีสิทธิอะไรบ้างในบทความนี้มีคำตอบครับ

ความหมายของ “หมายเรียก”

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 52 บัญญัติไว้ว่า การที่จะให้บุคคลใดมาที่พนักงานสอบสวน พนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจชั้นผู้ใหญ่ หรือมาศาล เพื่อการสอบสวน การไต่สวนมูลฟ้อง หรือการพิจารณาคดี จะต้องมี "หมายเรียก" 

หมายเรียก จึงหมายถึง หนังสือที่กฎหมายให้อำนาจพนักงานสอบสวนสั่งให้บุคคลมาพบ 

ดังนั้น การออกหมายเรียกคดีอาญาจึงหมายถึง การที่พนักงานสอบสวนเรียก ผู้ต้องหา หรือพยานมาพบ เพื่อประโยชน์ในการสอบสวนคดีอาญา นั้นเอง

ผู้ต้องหา กับ พยาน ต่างกันอย่างไร

  • ผู้ต้องหา หมายถึง บุคคลที่ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิด แต่ยังไม่ได้ถูกฟ้องต่อศาล เป็นเพียงผู้ต้องสงสัยที่รอการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน
  • พยาน หมายถึง พยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ ซึ่งในกรณีพยานบุคคล อาจเป็นได้ทั้งผู้ต้องหาในคดีอาญาหรือเป็นเพียงผู้รู้เห็นข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดี ซึ่งเป็นประโยชน์ในการพิสูจน์ของพนักงานสอบสวน 

📖 อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง


ลักษณะของหมายเรียกคดีอาญา

สิ่งที่ควรรู้ เมื่อโดนหมายเรียกคดีอาญา-ยาเสพติด (2).png

เมื่อท่านตกเป็นผู้ต้องหาในคดีอาญา พนักงานสอบสวนก็จะดำเนินการออกหมายเรียกให้ท่านไปพบตามวันและเวลาที่กำหนด โดยท่านต้องทำการตรวจสอบหมายเรียกนั้นก่อน ซึ่งมีรายละเอียดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 52  ดังนี้

  1. สถานที่ออกหมาย หมายถึง สถานที่ปฏิบัติงานของพนักงานสอบสวน เช่น สถานีตำรวจภูธรเกาะสมุย
  2. วัน เดือน ปี ที่ออกหมาย หมายถึง วันที่ทำหนังสือออกหมายเรียก เช่น 19มกราคม 2568
  3. ชื่อและตำบลที่อยู่ของบุคคลที่ออกหมายเรียกให้มา หมายถึง ชื่อ อายุ เลขบัตรประชาชน ที่อยู่
  4. เหตุที่ต้องเรียกบุคคลนั้นมา หมายถึง พนักงานสอบสวนจะระบุว่าเรียกท่านไปพบด้วยเหตุอะไร เช่น ขอสอบสวนปากคำท่านในฐานะพยาน หรือผู้ต้องหา
  5. สถานที่ วัน เดือน ปี และเวลาที่จะให้ผู้นั้นไปถึง หมายถึง วันและเวลาที่ท่านต้องไปพบพนักงานสอบสวน 
  6. ลายมือชื่อ และตำแหน่งผู้ออกหมาย หมายถึง ลายมือชื่อและตำแหน่งพนักงานสอบสวน 

การส่งหมายเรียก

อย่างไรก็ตาม การส่งหมายเรียกของพนักงานสอบสวนก็ต้องดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งโดยอนุโลม ดังนี้

1. การส่งหมายเรียกให้ผู้ต้องหา 

ให้ส่งกับตัวผู้ต้องหา หรือสามี ภริยา ญาติ หรือผู้ปกครองของผู้ต้องหา

2. การส่งหมายเรียกให้กับพยาน 

ให้ส่งกับตัวพยาน หรือตัวแทน หรือบุคคลซึ่งมีอายุเกิน 20 ปี ซึ่งอยู่ในสำนักงานหรือบ้านของผู้ถูกเรียก

3. กรณีผู้ถูกเรียกอยู่ต่างท้องที่ที่ออกหมาย 

ให้ส่งไปยังพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจซึ่งผู้ถูกเรียกอยู่ในท้องที่ เพื่อสลักหลังหมายแล้วส่งต่อ

⭐️ ปรึกษาทนายเบื้องต้นฟรี ง่ายๆผ่านทาง Free Q&A ของ Legardy โดยไม่จำเป็นต้องระบุตัวตน

การไปตามหมายเรียกครั้งแรกเพื่อรับทราบข้อกล่าวหา มีโอกาสที่จะโดนจับน้อยหากเราไปตามหมายเรียก อย่างไรก็ดีการไม่ไปตามหมายเรียกอาจเพิ่มโอกาสในการถูกจับในขั้นตอนต่อๆไป

ผลของการขัดหมายเรียก

1. กรณีหมายเรียกผู้ต้องหา: ถ้าผู้ถูกหมายเรียกเป็นผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่มาตามหมายเรียก 

อาจเป็นเหตุให้ถูกจับ โดยการออกหมายจับ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66 

คำพิพากษาฎีกาที่ 1140/2481 ข้อหาขัดหมายเรียกพนักงานสอบสวน ไม่มีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน เพราะมีโทษคือออกหมายจับแล้ว 

2. กรณีหมายเรีกยพยาน: ถ้าผู้ถูกหมายเรียกเป็นพยาน ไม่มาตามหมายเรียก 

อาจมีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 168 มาตรา 170 และ มาตรา 368 

คำพิพากษาฎีกาที่ 1783/2493 พยานที่ขัดขืนไม่ปฏิบัติตามหมายเรียกของพนักงานสอบสวน ย่อมมีความผิดฐานขัดคำสั่งเจ้าพนักงาน

📢 หากได้รับหมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา แต่ไม่รู้จะเตรียมตัวอย่างไร รับคำแนะนำจากทนายบนเว็บไซต์ได้ทันที


การเตรียมตัวไปพบพนักงานสอบสวนตามหมายเรียก

สิ่งที่ควรรู้ เมื่อโดนหมายเรียกคดีอาญา-ยาเสพติด (3).png

1. ผู้เขียนแนะนำให้ท่านโทรศัพท์สอบถามพนักงานสอบสวนเพื่อทราบรายละเอียดเบื้องต้น เกี่ยวกับหมายเรียกคดีอาญา หมายเรียกไปรับทราบข้อกล่าวหา เช่น ท่านตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหาหรือพยาน และข้อกล่าวหามีที่มาที่ไปเบื้องต้นอย่างไร ซึ่งโดยปกติในหมายเรียกจะมีเบอร์โทรศัพท์ของพนักงานสอบสวนแจ้งให้ท่านทราบ

2. หากไม่สามารถไปตามหมายเรียกได้ ให้รีบแจ้งโทรศัพท์แจ้งพนักงานสอบสวนด้วยวาจาเพื่อแจ้งเหตุการณ์ขอเลื่อนพบตามหมายเรียก จากนั้นให้ส่งหนังสือแจ้งให้ทราบเป็นทางการ และติดตามผลด้วยว่าเป็นอย่างไร

3. เพื่อป้องกันภัยมิจฉาชีพ ให้นึกไว้เสมอว่าหมายเรียกในคดีอาญา คือการที่ท่านต้องไปพบพนักงานสอบสวน ณ สถานที่ออกหมายเรียก ดังนั้น พนักงานสอบสวนจะไม่มีการสอบสวนออนไลน์ รวมถึงไม่มีการเรียกเก็บค่าใช้จ่าย และไม่มีการส่งคิวอาร์โค้ดให้ท่านสแกน หรือส่งลิงก์ ใดๆ ให้ท่านกดทั้งสิ้น 

อย่างไรก็ดีหากท่านไม่แน่ใจว่าหมายเรียกเป็นเอกสารที่แท้จริงหรือไม่ ให้ท่านโทรศัพท์สอบถามไปยังสถานีตำรวจที่ออกหมายได้ เช่นเดียวกัน

4. ให้ท่านเตรียมข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ วัน เวลา สถานที่เกิดเหตุตามที่ท่านทราบ และไม่ควรแก้ไข เพิ่มเติมเรื่องราวใด ๆ ทั้งสิ้น รวมถึงพยานหลักฐานต่าง ๆ ถ้าท่านมีก็เตรียมไปด้วย 

ทั้งนี้ หากท่านไม่มั่นใจที่จะดำเนินการด้วยตนเอง ผู้เขียนแนะนำให้ปรึกษาทนายความก่อนครับ

📢 หากคุณกำลังมองหา คำแนะนำเมื่อได้รับหมายเรียก หรือต้องการปรึกษาปัญหากฎหมายอื่นๆ ติดต่อทนาย กว่า 700 คนทั่วประเทศผ่านเว็บไซต์ได้เลย 


สิทธิของผู้ได้รับหมายเรียกคดีอาญา

1. สิทธิของผู้ต้องหา 

จะเห็นได้ว่าผู้ต้องหาหมายถึงบุคคลที่ยังไม่ได้ถูกฟ้องต่อศาล แต่เป็นบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด 

ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้ในกรณีมีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อเจ้าหน้าที่ว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้น เมื่อเจ้าหน้าที่รับเรื่องแล้วก็ต้องมีการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อพิสูจน์ ผิดหรือถูก กันต่อไปดังนั้น ผู้ต้องหาจึงมีสิทธิทราบว่ากระทำผิดอย่างไร เรื่องอะไร ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 7/1 และมาตรา 83 มีดังนี้

  1. พบและปรึกษาผู้ซึ่งจะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว
  2. ให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ ในชั้นสอบสวน
  3. ได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร
  4. ได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วเมื่อเกิดเหตุเจ็บป่วย

คำพิพากษาฎีกาที่ 6635/2551 การที่จำเลยเข้าหาพนักงานสอบสวน และพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาให้ทราบ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยถูกจับ

2. สิทธิผู้ต้องหาที่จะได้รับการแจ้งข้อหาก่อนทำการสอบสวน 

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 มาตรา 134/1 มาตรา 134/2 มาตรา134/3 มาตรา 134/4 และมาตรา 135 มีดังนี้

  1. ให้ถามชื่อตัว ชื่อรอง ชื่อสกุล สัญชาติ บิดา มารดา 
  2. อายุ อาชีพ ที่อยู่ ที่เกิด
  3. แจ้งให้ทราบถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหาว่าผู้ต้องหาได้กระทำความผิด
  4. แจ้งข้อหาให้ทราบ พร้อมแจ้งหลักฐานตามสมควร
  5. ได้รับการสอบสวน ด้วยความรวดเร็ว ต่อเนื่อง เป็นธรรม
  6. แก้ข้อหาและแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์กับตนได้
  7. สิทธิให้ทนายความหรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจเข้ารับฟังการสอบปากคำ
  8. กรณีผู้ต้องหาเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์หรือพนักงานอัยการ เข้าร่วมด้วย
  9. สิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ ถ้อยคำที่ให้การนั้นอาจใช้เป็นหลักฐานในการพิจารณาคดีได้
  10. สิทธิที่จะให้การด้วยความสมัครใจ คำพิพากษาฎีกาที่ 1341/2509 เมื่อจำเลยตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหา ในชั้นสอบสวนห้ามมิให้บังคับให้ผู้ต้องหาให้ถ้อยคำใด ๆ
  11. มีทนายความโดยรัฐจัดหาให้ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่ผู้ต้องหามีอายุไม่เกิน 18 ปี
  12. สิทธิในการมีทนายความโดยรัฐจัดหาให้ ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต

คำพิพากษาฎีกาที่ 1130/2553 

คดีที่มีโทษประหารชีวิต อยู่ในบังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134/1 เป็นสิทธิเด็ดขาดของผู้ต้องหาที่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐในการจัดหาทนายความให้ เมื่อผู้ต้องหาไม่มีทนายความ เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนต้องหาทนายความให้กับผู้ต้องหา

📖 อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

3. สิทธิของพยาน 

ในที่นี้ผู้เขียนขอกล่าวถึงพยานบุคคล ซึ่งไม่ใช่ผู้ต้องหา แต่หมายถึง บุคคลที่สามารถเข้าใจและตอบคำถามได้ เป็นผู้ที่ได้เห็นได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวในเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นมาด้วยตนเองโดยตรง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ซึ่งให้นำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 95 มาใช้ 

ดังนั้น พยานที่ได้รับหมายเรียกในคดีอาญาอาจอยู่ฝ่ายเดียวกับผู้ต้องหา หรือฝ่ายเดียวกับผู้กล่าวหาก็ได้

โดยสิทธิของพยานที่สำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 133 ทวิ มีดังนี้

  1. กรณีพยานเป็นเด็กอายุไม่เกิน 18 ปี ในคดีความผิดเกี่ยวกับเพศ หรือความผิดอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนด สามารถร้องขอให้มีนักจิตวิทยาหรือนักสังคมสงเคราะห์หรือพนักงานอัยการหรือบุคคลที่เด็กร้องขอเข้าร่วมด้วยในการสอบสวนได้ 
  2. ในกรณีมีความจำเป็นต้องจัดให้พยานยืนยันตัวผู้กระทำความผิด พนักงานสอบสวนต้องจัดในสถานที่ที่เหมาะสม

ทั้งนี้ พยานมีหน้าที่ต้องให้การในเรื่องที่รู้เห็นตามความเป็นจริง หากให้การไม่ตรงกับข้อเท็จจริงที่ตนรู้เห็น อาจมีความผิดในข้อหาแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่พนักงานสอบสวนได้

อย่างไรก็ตาม ได้มีพระราชบัญญัติคุ้มครองพยานในคดีอาญา พ.ศ. 2546 ซึ่งมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการรับรองสิทธิพยานในคดีอาญา เช่น คดียาเสพติด คดีฟอกเงิน คดีทุจริต คดีที่มีโทษหนัก คดีทางเพศ คดีอาชญากรรมข้ามชาติ ดังนี้

  • อารักขาคุ้มครองความปลอดภัย
  • จัดให้อยู่ในสถานที่ปลอดภัย
  • ปกปิดข้อมูลที่สามารถระบุตัวพยานได้
  • ได้รับค่าเลี้ยงชีพ หรือค่าตอบแทน

🔎หาคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ผ่านทางระบบ ค้นหาฎีกา ของ Legardy


คดีเกี่ยวกับยาเสพติด

สิ่งที่ควรรู้ เมื่อโดนหมายเรียกคดีอาญา-ยาเสพติด4.png

คดียาเสพติดถือว่าเป็นคดีที่มีสถิติการปราบปรามผู้กระทำความผิดโดยพนักงานฝ่ายปกครองหรือตำรวจเป็นจำนวนมาก ซึ่งบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติดไม่ว่าจะอยู่ในฐานะผู้ต้องหาหรือพยาน ก็อาจจำต้องเกี่ยวข้องกับหมายเรียก หมายค้น หมายจับ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ประกอบกับในปัจจุบัน ได้มีประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งมีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2565 เป็นต้นมา มีผลให้กฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดที่มีอยู่หลายฉบับได้ถูกยกเลิกไป ดังนั้น ในบทความนี้จึงขออธิบายสาระสำคัญของประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ ที่น่าสนใจ ดังนี้

⚖️ อ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: กฎหมายยาเสพติด

สาระสำคัญของประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่

1. นิยาม คำว่า จำหน่าย 

หมายถึง ต้องมีสิ่งตอบแทนหรือผลประโยชน์อย่างอื่น ถ้าให้กันฟรี ๆ ไม่ถือว่าเป็นการจำหน่าย และคำว่า จำหน่าย ให้รวมถึงการมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย

2. มีข้อสันนิษฐานใหม่ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลย 

คือ มีไว้ในปริมาณเล็กน้อยไม่เกินที่กำหนดในกระทรวงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่ามีไว้ครอบครองเพื่อเสพ

3. การมีไว้ครอบครองเพื่อเสพและเสพ 

ไม่ถือเป็นความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดแต่ให้ถือเป็นผู้ป่วย ต้องใช้วิธีการบำบัดแทนการลงโทษเป็นหลัก

4.  กรณีรู้ตัวว่าติดยาเสพติด 

และสมัครใจเข้ารับการบำบัดในสถานพยาบาลก่อนถูกจับกุม เมื่อบำบัดเสร็จจนได้หนังสือรับรองจะถือว่าไม่มีความผิด

5. การให้ข้อมูลที่สำคัญต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมหรือพนักงานสอบสวนในคดี 

ศาลลงโทษน้อยลงได้ โดยระหว่างพิจารณาคดีจำเลยอาจยื่นคำร้องต่อศาลเองได้

6. เปลี่ยนนิยามคำว่า ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด 

คือ ความผิดเกี่ยวกับการผลิต นำเข้า ส่งออก จำหน่าย หรือมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติด การสมคบ  สนับสนุน ช่วยเหลือ หรือพยายามกระทำความผิด เป็นความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด

7. ความผิดซึ่งมีโทษปรับสถานเดียว 

ถ้าผู้ต้องหาชำระค่าปรับภายในเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าคดีนั้นยุติ

8. ทรัพย์สินที่ไม่ปรากฏตัวเจ้าของที่ได้ยึดหรืออายัดไว้ เนื่องจากการกระทำความผิดของผู้ต้องหาหรือจำเลยรายนั้น 

ถ้าไม่มีผู้ใดมาขอรับคืนภายในห้าปีนับแต่วันที่มีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องคดีหรือมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยกฟ้อง ให้ตกเป็นของกองทุน

9. เมื่อมีการฟ้องคดีต่อศาล 

ถ้าไม่ปรากฏว่าผู้นั้นเป็นผู้ต้องหาหรืออยู่ในระหว่างถูกดำเนินคดีในความผิด อื่นซึ่งเป็นความผิดที่มีโทษจำคุกหรืออยู่ในระหว่างรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล ถ้าศาลเห็นว่ายังไม่สมควรลงโทษจำเลย หากจำเลยสำนึกในการกระทำโดยตกลงเข้ารับการบำบัดรักษา เมื่อศาลสอบถามพนักงานอัยการแล้ว หากศาลเห็นสมควร ให้ส่งตัวจำเลยไปสถานพยาบาลยาเสพติดเพื่อเข้ารับการบำบัดรักษาต่อไป

📖 อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง

ส่งท้าย

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับผู้อ่าน หากยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถเข้าไป ตั้งคำถามผ่านช่องทางที่แพลตฟอร์ม Legardy หรือรวบรวมข้อเท็จจริงเข้าปรึกษากับทนายความ ก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นครับ

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “