ผู้รับเหมาทิ้งงาน-งานไม่เสร็จ_  ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย.png
เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-30

สืบพยานอย่างไรให้ศาลรับฟัง พยานบุคคล – เอกสาร – ดิจิทัล

การรับฟังพยานเพื่อนำมาประกอบการพิจารณาคดี ศาลต้องค้นหาข้อเท็จจริงโดยต้องอาศัยพยานหลักฐานต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริง และตัดสินคดีหรือข้อพิพาทต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่ง คดีอาญา หรือคดีอื่น ๆ ที่อยู่ในอำนาจศาล

โดยเฉพาะข้อพิพาทในคดีแพ่งและคดีอาญาซึ่งจะมีฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย โดยทั้งสองฝ่ายจะมีหน้าที่เสนอพยานหลักฐานต่อศาลซึ่งเป็นคนกลางทำหน้าที่ชี้ขาดข้อเท็จจริง โดยศาลจะเปิดโอกาสให้คู่กรณีต่อสู้คดีกันได้อย่างเต็มที่

ดังนั้น การวินิจฉัยข้อเท็จจริงของศาลจึงต้องอาศัยพยานหลักฐานต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุ พยานดิจิทัล ที่เข้าสู่สำนวนคดี การที่คู่ความจะสืบพยานอย่างไรให้ศาลรับฟัง ในบทความนี้มีคำตอบครับ


พยานหลักฐาน หมายถึง

สิ่งที่สามารถนำมาพิสูจน์ข้อเท็จจริงในคดีหรือนำมาวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงได้ ซึ่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา แบ่งได้ 4 ประเภท ได้แก่ 

  • พยานบุคคล 
  • พยานเอกสาร 
  • พยานวัตถุ
  • พยานผู้เชี่ยวชาญ

⭐️ ปรึกษาทนายเบื้องต้นฟรี ง่ายๆผ่านทาง Free Q&A โดยไม่จำเป็นต้องระบุตัวตน


การเตรียมตัวก่อนสืบพยาน

พยานแต่ละประเภทมีกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกัน และนับว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่ศาลจะใช้เป็นหลักในการพิจารณาตัดสินข้อพิพาท ในการนี้ผู้เขียนจึงแบ่งขั้นตอนที่สำคัญ ดังนี้

  • การสอบข้อเท็จจริงตัวความและปรับเข้ากับข้อกฎหมาย ซึ่งนับว่าเป็นส่วนแรกที่ผู้ทำการสืบพยานโดยเฉพาะทนายความต้องให้ความสำคัญ โดยควรสอบข้อเท็จจริงจากตัวความให้ละเอียด ซึ่งในบางครั้งอาจต้องจับพิรุธหรือข้อบกพร่องต่าง ๆ ให้ได้ด้วย เพื่อจะได้กำหนดแนวทางได้อย่างครบถ้วน
  • การทำคำฟ้อง คำให้การ หรือคำร้องต่าง ๆ ให้สมบูรณ์ถูกต้อง โดยอยู่บนฐานของความเป็นจริง
  • การเตรียมพยานหลักฐานให้ครบถ้วน และควรวางแผนดำเนินการล่วงหน้าก่อนวันสืบพยาน
  • ศึกษาศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงข้อเท็จจริงที่ใกล้เคียง และคำพิพากษาที่เป็นประโยชน์ต่อคดี

ผู้รับเหมาทิ้งงาน-งานไม่เสร็จ_  ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย (2).png

สืบพยานอย่างไรให้ศาลรับฟัง

คดีแพ่ง

เมื่อมีการยื่นคำฟ้อง คำให้การ ศาลก็จะทำการกำหนดวันชี้ประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ หรือศาลอาจจะกำหนดวันสืบพยานเลยก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 182 

โดยศาลจะกำหนดว่าคู่ความฝ่ายใดมีหน้าที่นำสืบก่อน จะสืบพยานกี่วัน หรืออาจเพียงครึ่งวัน และศาลจะสอบถามคู่ความว่าจะนำพยานบุคคลเข้าสืบกี่คน

โดยก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน คู่ความจะต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลด้วย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88

ในกรณีพยานเอกสาร คู่ความที่อ้างพยานเอกสารจะต้องส่งสำเนาพยานเอกสารต่อศาลและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่ง ก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 90

คดีอาญา

คดีอาญา โจทก์จะมีหน้าที่พิสูจน์ว่าจำเลยกระทำความผิดจริง ส่วนจำเลยไม่มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตน เว้นแต่จำเลยจะรับสารภาพตามฟ้อง แต่อ้างว่ากระทำความผิดไปเพราะอะไร เพื่ออาศัยเหตุไม่ต้องรับโทษหรือลดโทษหรือไม่มีความผิด

โดยหลักการวินิจฉัยพยานหลักฐานนั้น ศาลต้องนำพยานหลักฐานในสำนวนมาพิจารณา เช่นเดียวกับการสืบพยานในคดีแพ่ง ซึ่งในคดีอาญาศาลจะกำหนดวันตรวจพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173/1 หรือศาลอาจไม่กำหนดให้มีวันตรวจพยานหลักฐานก็ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 229/1

ทั้งนี้ กรณีมีวันตรวจพยานหลักฐาน คู่ความต่างมีหน้าที่ยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 7 วัน ในกรณีไม่มีวันตรวจพยานหลักฐาน เฉพาะโจทก์ต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องหรือก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 15 วัน ส่วนจำเลยต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันสืบพยาน จะก่อน 1 วัน ก็ย่อมได้

ในกรณีพยานเอกสาร กรณีมีวันตรวจพยานหลักฐาน ในวันตรวจพยานหลักฐาน คู่ความต่างมีหน้าที่ส่งพยานเอกสารให้ศาลและคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งตรวจสอบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173/2 ในกรณีไม่มีวันตรวจพยานหลักฐาน คู่ความต่างมีหน้าที่ยื่นพยานเอกสารต่อศาล ก่อนวันไต่สวนมูลฟ้องหรือก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่า 15 วัน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 240

👉 อ่านบทความเพิ่มเติมได้ที่นี่


ขั้นตอนการสืบพยาน

1) ก่อนขึ้นเบิกความ

ก่อนขึ้นเบิกความ พยานบุคคลต้องสาบานหรือปฏิญาณตนก่อนเสมอ

2) การเบิกความ

ต้องเบิกความด้วยวาจา และห้ามไม่ให้เบิกความต่อหน้าพยานคนอื่นที่จะมาเบิกความในภายหลัง

3) การซักถามพยาน - ศาลซักก่อน แล้วคู่ความซักต่อ (ห้ามคำถามนำ)

การซักถามพยาน เมื่อศาลซักถามพยานเสร็จ ก็ให้คู่ความซักถามพยานต่อได้ โดยห้ามใช้คำถามนำ และถ้ามีพยานเอกสาร พยานวัตถุ หรือพยานอื่นใด ก็ให้พยานดูและอ้างส่งศาลประกอบการซักถามในแต่ละครั้ง

การถามพยานไม่ควรใช้คำถามยาวเกินไป แต่ขอให้กระชับได้ใจความ เพื่อให้พยานตอบเฉพาะที่ถาม และให้ได้มาซึ่งข้อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเถียงของตน โดยควรถามข้อเท็จจริงเป็นเรื่องราวตามลำดับ

4) การถามค้านพยาน - สิทธิและหน้าที่ของอีกฝ่าย (ใช้คำถามนำได้)

การถามค้านพยาน การถามค้านเป็นทั้งสิทธิและหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 117 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติว่า 

คู่ความฝ่ายที่ต้องอ้างพยานได้ซักถามพยานเสร็จแล้ว คู่ความอีกฝ่ายหนึ่งชอบที่จะถามค้านพยานนั้นได้

โดยการถามค้านคือการที่คู่ความอีกฝ่ายถามพยานนั้นต่อ เพื่อทำลายน้ำหนักคำพยานที่ได้ให้ไว้ และไม่ห้ามการใช้คำถามนำ และสามารถนำพยานเอกสารเข้าใช้ประกอบการถามค้านได้ ถึงแม้จะไม่ได้ระบุไว้ในบัญชีระบุพยาน โดยหากพยานซึ่งถูกถามค้านรับรองพยานเอกสารที่คู่ความอีกฝ่ายนำสืบ ก็จะเป็นพยานหลักฐานที่เข้าสู่สำนวนโดยชอบด้วยกฎหมาย

กรณีที่คู่ความจะใช้คำถามค้านแนวใดก็ขึ้นอยู่กับรูปคดีเป็นเรื่อง ๆ ไป เช่น พยานมีอคติ ความรู้ของพยานไม่น่าเชื่อถือ โอกาสรู้เห็นของพยานไม่น่าเชื่อถือ

5) การถามติง - ฝ่ายที่อ้างพยานถามเพิ่มเติมหลังถามค้านเสร็จ

การถามติง เป็นสิทธิของคู่ความฝ่ายที่อ้างพยานมา และจะถามติงได้ต่อเมื่อคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งได้ถามค้านพยานเสร็จแล้ว กล่าวคือ เมื่อคู่ความอีกฝ่ายมีการถามค้านเสร็จ คู่ความฝ่ายที่อ้างพยานมาก็สามารถถามพยานต่ออีกครั้ง โดยให้อธิบายในส่วนที่ตอบคำถามค้านไว้ เพราะบางกรณีการตอบคำถามค้านอาจทำให้เกิดความสงสัยหรือขัดแย้งกับการซักถามพยานในครั้งแรก ทั้งนี้ การถามติง หากไม่เกี่ยวกับคำเบิกความถามค้าน อีกฝ่ายหนึ่งมีสิทธิคัดค้านได้

6) ปิดการสืบพยาน - ศาลอ่านคำเบิกความและลงชื่อรายงานกระบวนพิจารณา

โดยสรุปแล้ว เมื่อพยานเบิกความครบทุกคน ศาลก็จะอ่านคำเบิกความให้พยานฟัง และบันทึกรายงานกระบวนพิจารณา ว่ามีใครมาศาลบ้าง สืบพยานไปกี่คน มีเอกสารกี่ฉบับ จากนั้นก็จะให้คู่ความและทนายความลงชื่อในรายงานกระบวนพิจารณา เป็นอันเสร็จขั้นตอนการสืบพยาน


การชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน

คดีแพ่ง

ในคดีแพ่ง ให้ศาลมีอำนาจเต็มที่จะวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานที่คู่ความนำมาสืบนั้นจะเกี่ยวกับประเด็น และเป็นอันเพียงพอ ให้เชื่อฟังเป็นยุติได้หรือไม่ แล้วพิพากษาคดีไปตามนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 104

คดีอาญา

ในคดีอาญา ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริง และจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227


ประเภทพยานหลักฐาน

ผู้รับเหมาทิ้งงาน-งานไม่เสร็จ_  ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย (3).png

1. พยานบุคคล

พยานบุคคลหมายถึง คนที่มาเบิกความให้ข้อเท็จจริงต่อศาล และถือเป็นพยานที่สำคัญมาก คำพิพากษาฎีกาที่ 1199/2526 เด็กอายุ 15 ปี เป็นคนปัญญาอ่อน แต่สามารถเบิกความต่อศาลได้ว่าตนเองถูกจำเลยกับพวกข่มขืน คำเบิกความย่อมรับฟังได้

พยานบุคคลจะต้องเป็นผู้ที่ได้เห็น ได้ยิน หรือทราบข้อความเกี่ยวกับเรื่องที่จะให้การเป็นพยานนั้นด้วยตนเอง ซึ่งเรียกว่าประจักษ์พยาน หรือพยานโดยตรง และถือเป็นพยานที่ดีที่สุด ส่วนพยานที่รับฟังคนอื่นมาอีกทีจะเรียกว่าพยานบอกเล่าซึ่งมีความน่าเชื่อถือน้อยมากและศาลมักจะไม่รับฟัง

พยานบุคคลคู่ความจะนำมาเบิกความต่อศาลด้วยตนเองก็ได้ หรือหากไม่สามารถนำพยานมาศาลด้วยตนเองได้ คู่ความก็สามารถยื่นคำขอต่อศาลเพื่อออกหมายเรียกบุคคลนั้นมาเป็นพยานได้

2.พยานเอกสาร

พยานเอกสารหมายถึง สิ่งซึ่งมีการบันทึกในรูปแบบตัวอักษร ตัวเลข รูป เครื่องหมาย รวมถึงภาพเคลื่อนไหว (วิดีโอ) ที่ต้องการพิสูจน์ความหมาย ข้อความที่บันทึกไว้ เช่น สำเนาสัญญากู้ สำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาภาพถ่ายหนังสือรับสภาพหนี้

โดยในคดีแพ่ง พยานเอกสารนับว่าสำคัญมาก ซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 บัญญัติไว้ว่า 

เมื่อใดมีกฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง ห้ามมิให้ศาลยอมรับฟังพยานบุคคลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ แม้ถึงว่าคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งจะได้ยินยอมก็ดี ได้แก่ การขอสืบพยานบุคคลแทนพยานเอกสาร เมื่อไม่สามารถนำเอกสารมาแสดง หรือขอสืบพยานบุคคลประกอบข้ออ้าง กรณีเมื่อได้นำเอกสารมาแสดงแล้วว่ายังมีข้อความเพิ่มเติม ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารนั้นอยู่

ดังนั้น พยานเอกสารที่ดี ผู้อ้างควรนำต้นฉบับมาพิสูจน์

3.พยานวัตถุ

พยานวัตถุหมายถึง สิ่งที่สามารถพิสูจน์ได้โดยการตรวจ เช่น อาวุธ บาดแผล ภาพเคลื่อนไหว (วิดีโอ) ที่ต้องการพิสูจน์รูปร่าง ลักษณะ สิ่งที่ปรากฏอยู่ ดังนั้น พยานวัตถุจะเป็นสิ่งมีชีวิต หรือเป็นสิ่งไม่มีชีวิตก็ได้

ถ้าเป็นพยานวัตถุที่ไม่สามารถนำมาศาลได้ ก็อาจขอให้ศาลไปตรวจดูได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 241 หรือประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 128

4.พยานดิจิทัล

พยานดิจิทัลหมายถึง ภาพหรือเสียงที่ถูกบันทึกในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น ภาพกล้องวงจรปิด หรือข้อมูลการจราจรคอมพิวเตอร์ ซึ่งในปัจจุบันเครือข่ายอินเทอร์เน็ตและสังคมดิจิทัลเข้ามามีบทบาทและส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบและวัฒนธรรมการดำรงชีวิตของคนมากขึ้น การก่ออาชญากรรมคอมพิวเตอร์ก็มีมากขึ้น

การตรวจสอบพยานหลักฐานดิจิทัล จึงไม่ได้หมายถึงเฉพาะข้อมูลในคอมพิวเตอร์ แต่ยังรวมไปถึงอุปกรณ์ที่สามารถจัดเก็บข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป อุปกรณ์รับสัญญาณดาวเทียม (GPS) อุปกรณ์จัดเก็บข้อมูล USB และอาจจำเป็นต้องอาศัยคำอธิบายหรือการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญ และการยืนยันความแท้จริงของพยานหลักฐานดิจิทัล

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบัน พยานดิจิทัลยังคงจัดเป็นประเภทพยานวัตถุ คำพิพากษาฎีกาที่ 7155/2539 เทปเสียงถือเป็นพยานวัตถุ

🔎หาคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ผ่านทางระบบ ค้นหาฎีกา ของ Legardy

5.พยานผู้เชี่ยวชาญ

พยานผู้เชี่ยวชาญหมายถึง ผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง หรือที่คู่ความระบุในบัญชีพยาน เช่น แพทย์ วิศวกร ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยาศาสตร์ ศิลปะ ฝีมือ พาณิชย์การ การแพทย์ หรือกฎหมายต่างประเทศ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 98 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 243 ได้บัญญัติไว้ โดยคู่ความอาจเรียกพยานผู้เชี่ยวชาญมาเองหรือขอให้ศาลเป็นผู้แต่งตั้งให้ โดยต้องระบุในบัญชีพยานด้วย

พยานผู้เชี่ยวชาญไม่ถือเป็นพยานบุคคล เนื่องจากไม่รู้เห็นข้อเท็จจริงในคดี แต่ความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญจะช่วยศาลในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงในคดี อย่างไรก็ตาม ศาลไม่จำเป็นต้องเชื่อความเห็นของพยานผู้เชี่ยวชาญเสมอไป

📢 หากคุณ ปรึกษาทนายเรื่องพยาน หรือต้องการปรึกษาปัญหากฎหมายอื่นๆ ติดต่อทนายผู้เชี่ยวชาญ กว่า 700 คนทั่วประเทศผ่านเว็บไซต์ได้เลย 


ปิดท้าย

หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับผู้อ่าน หากยังมีข้อสงสัยเพิ่มเติมสามารถเข้าไปตั้งคำถามผ่านช่องทางที่แพลตฟอร์ม Legardy หรือรวบรวมข้อเท็จจริงเข้าปรึกษากับทนายความ ก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นครับ

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “