เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-21

ขายของออนไลน์ มีภาษีอะไรบ้างที่ควรรู้

             ตั้งแต่ช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19 การขายของออนไลน์กลายเป็นที่นิยมอย่างมาก เพราะเป็นอาชีพที่เริ่มต้นได้ง่าย มีแพลตฟอร์มต่าง ๆ อย่าง Shopee, Lazada หรือFacebook คอยช่วยอำนวยความสะดวกทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ ทำให้หลายคนหันมาค้าขายออนไลน์กันมากขึ้น ไม่ว่าจะทำเป็นอาชีพเสริมเพื่อหารายได้พิเศษ หรือแม้กระทั่งทำเป็นอาชีพหลักก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลายคนยังสับสนอยู่เสมอ คือเรื่อง ภาษีโดยเฉพาะกลุ่มที่ทำการค้าขายในฐานะบุคคลธรรม ไม่มีบัญชีหรือที่ปรึกษาคอยบอกหรือแนะนำ ทำให้ยังคงไม่เข้าใจระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการเสียภาษีที่เกี่ยวข้องกับอาชีพของตนเอง บทความนี้จึงจะพาพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ทุกคนไปทำความเข้าใจกันว่าสรุปแล้ว“บุคคลธรรมดาขายของออนไลน์” ต้องเสียภาษีอะไรบ้าง ? มีอะไรบ้างที่ต้องรู้ เพื่อให้เส้นทางการค้าขายออนไลน์ของพวกเราไม่ต้องมาสะดุดเพราะเรื่อง ‘ภาษี’ !

             ก่อนอื่นต้องอธิบายก่อนว่า หากใครที่ยังคงไม่มีไอเดียหรือความรู้เรื่องของภาษีเลย โดยทั่วไปแล้วกรณีที่บุคคลธรรมดาซึ่งค้าขายออนไลน์ต้องทำความรู้จักนั้นมีอยู่ 2 ประเภทด้วยกันค่ะ คือ “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” และ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)” ซึ่งทั้งสองประเภทมีสิ่งที่คนขายของออนไลน์ควรต้องทราบ ดังนี้ 

ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา

             เป็นภาษีจากฐาน ‘เงินได้ หรือ รายได้’ ที่ผู้มีรายได้ทุกคนมีหน้าที่ต้องเสีย ซึ่งก็หมายรวมถึงพ่อค้าแม่ค้าที่มีรายได้จากการขายของออนไลน์ด้วยเช่นกัน โดยหลักเกณฑ์ทางภาษีที่คนขายของออนไลน์ควรต้องทราบเกี่ยวกับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับ “วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” ซึ่งตามกฎหมายได้มีการกำหนดวิธีการคำนวณไว้ 2 วิธีด้วยกันค่ะ เรียกว่า ‘วิธีคำนวณแบบเงินได้สุทธิ’และ‘วิธีคำนวณแบบเงินได้พึงประเมิน’[1] โดยแต่ละวิธีจะมีรายละเอียดการคำนวณที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงจะได้ผลลัพธ์ หรือจำนวนภาษีที่ต้องเสียแตกต่างกันด้วยนั่นเอง 

             ซึ่งบุคคลใดจะมีหน้าที่ต้องคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาโดยใช้ทั้ง 2 วิธี กล่าวคือ ทั้งวิธีเงินได้สุทธิ และ วิธีเงินได้พึงประเมิน ก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นมีรายได้ประเภทที่ (2)-(8) ในปีภาษี รวมกันเป็นจำนวนตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป (โดยไม่รวมรายได้ประเภทที่ 1หรือ เงินเดือน)[2]

             เมื่อทำการคำนวณภาษีทั้ง 2 วิธีเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้นำจำนวนภาษีที่ต้องเสียซึ่งคำนวณได้ในแต่ละวิธีมาเปรียบเทียบกัน หากวิธีการไหนทำให้เสียภาษีมากกว่า ก็ให้เสียภาษีด้วยวิธีการนั้น แต่อย่างไรก็ตามหากการคำนวณภาษีด้วยวิธีการที่ 2 (วิธีเงินได้พึงประเมิน) มีจำนวนภาษีที่ต้องเสียไม่เกิน 5,000 บาท กรณีดังกล่าวนี้ให้เสียภาษีในจำนวนที่คำนวณได้ตามวิธีการที่ 1 เท่านั้น (วิธีเงินได้สุทธิ)[3] ค่ะ เดี๋ยวเราลองมาดูรายละเอียดและตัวอย่างการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากทั้ง 2 วิธี เพื่อให้เห็นภาพชัด ๆ กันนะคะ 

วิธีที่ 1) การคำนวณแบบเงินได้สุทธิ

             วิธีเงินได้สุทธิถือเป็นวิธีการคำนวณภาษีที่หลายคนคุ้นเคย เพราะเป็นวิธีที่คนส่วนใหญ่มักต้องใช้นั่นเองค่ะ และในบริบทที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่นี้ “กรณีการค้าขายออนไลน์แบบซื้อมาขายไป” ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40(8) หรือเงินได้ประเภทที่ 8 จะมีวิธีการคำนวณภาษีด้วยวิธีการเงินได้สุทธิ ดังนี้ 

สูตรในการคำนวณภาษี: กรณีขายของออนไลน์แบบซื้อมาขายไป

“รายได้ – ค่าใช้จ่าย (เลือกหักแบบเหมา 60% หรือหักตามจริง)* – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ

เงินได้สุทธิ x อัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (5-35%) = ภาษีที่ต้องเสียจากเงินได้สุทธิ”

*กรณีการขายของออนไลน์ในลักษณะที่เป็นการซื้อมาขายไปเท่านั้นที่มีสิทธิเลือกวิธีการหักค่าใช้จ่ายได้ 2 วิธี กล่าวคือ เลือกหักแบบเหมา หรือหักตามจริง เนื่องจากกิจการแบบซื้อมาขายไปเป็นกิจการประเภทที่อยู่ในข้อกำหนดของกรมสรรพากรที่อนุญาตให้หักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% ส่วนกรณีอื่น ๆ ไม่สามารถหักแบบเหมาได้ ต้องหักค่าใช้จ่ายตามจริงเท่านั้น[4]

วิธีที่ 2) การคำนวณแบบเงินได้พึงประเมิน

            อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้นว่า การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วยวิธีการนี้จะใช้เฉพาะในกรณีที่เรามีเงินได้พึงประเมินประเภทที่ 2-8 รวมกัน มีจำนวนตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป[5] หรือกล่าวได้ง่าย ๆ ว่ากรณีการขายของออนไลน์ หากในปีภาษีใดที่เรามีรายได้จากการขายไม่ถึง 120,000 บาท ก็ไม่จำเป็นต้องคำนวณภาษีโดยวิธีการนี้ ให้คำนวณโดยใช้วิธีเงินได้สุทธิวิธีการเดียวนั่นเองค่ะ

สูตรในการคำนวณภาษีโดยวิธีเงินได้พึงประเมิน

รายได้* x 0.005 = ภาษีที่ต้องเสียจากเงินได้พึงประเมิน”[6]

*ซึ่งยอดรายได้ในที่นี้ หมายความถึง รายได้ทั้งหมดที่เราได้รับมากจากการขายของออนไลน์ในปีภาษีแบบล้วน ๆ ไม่มีการหักค่าใด ๆ ทั้งสิ้น

ตัวอย่างการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ทั้ง 2 วิธี

             หากในปี 2565 นางสาวเก๋เปิดร้านขายของออนไลน์แบบซื้อมาขายไปใน Shopee มีรายได้รวมทั้งปี 10,000,000 บาท (เงินได้ประเภทที่ 8) มีต้นทุนในการขายและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ รวมกันทั้งสิ้น 8,000,000 บาท และมีค่าลดหย่อนเพียงรายการเดียวคือ ค่าลดหย่อนส่วนตัว จำนวน 60,000 บาท[7] การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนางสาวเก๋ในปี2565 จะเป็นดังนี้

1. คำนวณภาษีด้วยวิธีเงินได้สุทธิ

  • กรณีคำนวณโดยหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60%

(รายได้) 10,000,000 – (ค่าใช้จ่าย) 6,000,000 – (ค่าลดหย่อน)60,000 = เงินได้สุทธิ คือ 3,940,000

(เงินได้สุทธิ) 3,940,000 x อัตราภาษีแบบก้าวหน้า

รายได้ (บาท)

อัตราภาษี

จำนวนภาษี (บาท)

0-150,000

ยกเว้นภาษี

0

150,001 – 300,000

5%

7,500

300,001-500,000

10%

20,000

500,001-750,000

15%

37,500

750,001-1,000,000

20%

50,000

1,000,001-2,000,000

25%

250,000

2,000,001-3,940,000

30%

582,000

รวมภาษีที่ต้องชำระตามวิธีการคำนวณแบบเงินได้สุทธิ หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา คือ  947,000 บาท

  • กรณีคำนวณโดยหักค่าใช้จ่ายตามจริง

(รายได้) 10,000,000 – (ค่าใช้จ่าย) 8,000,000 – (ค่าลดหย่อย) 60,000= เงินได้สุทธิ คือ 1,940,000

(เงินได้สุทธิ) 1,940,000 x อัตราภาษีแบบก้าวหน้า

รายได้ (บาท)

อัตราภาษี

จำนวนภาษี (บาท)

0-150,000

ยกเว้นภาษี

0

150,001 – 300,000

5%

7,500

300,001-500,000

10%

20,000

500,001-750,000

15%

37,500

750,001-1,000,000

20%

50,000

1,000,001-1,940,000

25%

235,000

รวมภาษีที่ต้องชำระตามวิธีการคำนวณแบบเงินได้สุทธิ หักค่าใช้จ่ายตามจริง คือ 350,000 บาท

 

2. คำนวณภาษีด้วยวิธีเงินได้พึงประเมิน

(รายได้ทั้งหมด) 10,000,000 x 0.005 = ภาษีที่ต้องเสียคือ 50,000 บาท

         จากสถานการณ์ตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า เมื่อนางสาวเก๋มีรายได้จากการขายของออนไลน์ (เงินได้ประเภทที่ 8) ในปี 2565 รวมกันตั้งแต่ 120,000 บาทขึ้นไป นางสาวเก๋จึงต้องทำการคำนวณภาษีทั้ง 2 วิธี และเมื่อคำนวณออกมาแล้วปรากฏว่า ‘วิธีการคำนวณแบบเงินได้สุทธิ’ ทำให้นางสาวเก๋เสียภาษีมากกว่า ดังนั้น นางสาวเก๋จึงต้องเสียภาษีตามวิธีเงินได้สุทธิค่ะ 

         และเมื่อการขายของออนไลน์ของนาวสาวเก๋เป็นกิจการแบบซื้อมาขายไปซึ่งอยู่ในรายการกิจการ 43 ประเภท[8] ที่กรมสรรพากรกำหนดขึ้นและให้สิทธิในการเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาได้ 60% ดังนั้น การคำนวณภาษีด้วยวิธีเงินได้สุทธิ ในรายการหักค่าใช้จ่ายนั้นนางสาวเก๋จึงสามารถเลือกวิธีการหักค่าใช้จ่ายได้นั่นเอง

         ซึ่งอย่างที่ได้เห็นจากการคำนวณภาษีโดยใช้วิธีเงินได้สุทธิ หลายคนคงสังเกตได้ว่า การหักค่าใช้จ่ายด้วยวิธีการที่แตกต่างกันส่งผลต่อจำนวนภาษีที่ต่างกันอย่างมาก เนื่องจากจำนวนของค่าใช้จ่ายที่นำมาหักนั้นจะส่งผลต่อจำนวน “เงินได้สุทธิ” ซึ่งจะนำมาใช้เป็นฐานภาษีของเราต่อไปนั่นเองค่ะ

             เหตุที่ทำให้การหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา และการหักค่าใช้จ่ายตามจริงนั้นส่งผลต่อจำนวนภาษีที่แตกต่างกันพอสมควรก็เพราะว่า การหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% นั้น เป็นกรณีการหักค่าใช้จ่ายที่กฎหมาย “ให้สิทธิในการหักได้โดยอัติโนมัติ” โดยไม่ต้องแสดงหลักฐาน หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใด ๆ ดังนั้น กฎหมายจึงกำหนดอัตราในการหักไว้อย่างคงที่นั่นเอง 

             ในขณะที่ การหักค่าใช้จ่ายตามจริง (ซึ่งในหลาย ๆ กรณีทำให้เราหักค่าใช้จ่ายได้มากกว่า) เป็นการหักตามค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น การหักค่าใช้จ่ายด้วยวิธีการนี้จึงจำเป็นต้องมีพยานหลักฐานที่นำมาใช้พิสูจน์ข้อเท็จจริงถึงจำนวนเงินที่จะนำมาหักออก ไม่สามารถหักได้อย่างอัตโนมัติอย่างการหักแบบเหมานั้นเอง หมายความว่ารายได้ตามตัวอย่างที่ยกมาจำนวน 2 ล้านบาทนั้น หากค่าใช้จ่ายส่วนใดไม่มีหลักฐานการจ่ายที่ชัดเจนก้จะไม่สามารถนำมาหักได้นั่นเอง 

             ซึ่งจำนวนภาษีที่แตกต่างกันนั้นจะส่งผลกระทบต่อ “กำไรทางธุรกิจที่แท้จริง” ของเรา  ดังนั้น หากเราต้องการประหยัดภาษีด้วยการหักค่าใช้จ่ายตามต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง ก็จำเป็นต้องเข้าใจหลักการคำนวณภาษีด้วยวิธี “เงินได้สุทธิ” ให้ดี โดยสิ่งสำคัญที่เราควรรู้ให้ชัดก็คือ ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ ‘รายได้’ ‘ค่าใช้จ่าย’ และ ‘ค่าลดหย่อน’ ดังต่อไปนี้

  • รายได้ และค่าใช้จ่าย

         ในขาของรายได้และค่าใช้จ่ายนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้อง “แยกรายได้และรายจ่ายให้ชัดเจน” เพราะเราจำเป็นต้องรู้ให้แน่ชัดว่าในแต่ละปีกิจการของเรามีรายได้จากการขายเท่าไหร่ และมีค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนอะไรบ้างที่จ่ายออกไป เพื่อให้ข้อมูลเหล่านี้น่าเชื่อถือและใช้เป็นหลักฐานได้จริง เราควรจัดระบบช่องทางรับรายได้ให้ชัด เช่น อาจทำการแยกบัญชีธนาคารที่ใช้สำหรับขายของออนไลน์ไว้โดยเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เราเป็นบุคคลธรรมดาที่มีรายได้จากหลายทาง การแยกบัญชีจะช่วยให้เห็นตัวเลขรายได้จากการขายได้ชัดขึ้น และทำให้ตอนยื่นภาษีนั้นง่ายขึ้นเยอะเลยค่ะ

         ในส่วนของค่าใช้จ่าย ถ้าเราเลือกที่จะหักค่าใช้จ่ายตามจริง ก็ต้องมีการ บันทึกรายรับ–รายจ่ายให้ชัดเจนเอาไว้ค่ะ หรือถ้าให้ดีกว่านั้นก็ควร แยกบัญชีธนาคารที่ใช้สำหรับจ่ายค่าใช้จ่ายในกิจการ ออกมาโดยเฉพาะ จะได้เห็นอย่างชัดเจนว่าเรามีการจ่ายค่าอะไรออกไปจำนวนเท่าไหร่บ้าง นอกจากนี้การเก็บ หลักฐานการจ่ายเงิน เช่น ใบเสร็จรับเงิน ใบรับเงิน ใบกำกับภาษี ก็สำคัญมากนะคะเพราะเอกสารเหล่านี้จะช่วยยืนยันได้ว่าเราได้ทำการจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านั้นออกไปจริง ๆ  เพื่อให้สามารถนำมาใช้ประกอบการคำนวณภาษีได้อย่างถูกต้องและครบถ้วนค่ะ

  • ค่าลดหย่อน

         ในส่วนของ “ค่าลดหย่อน” นั้น เป็นรายการที่มีส่วนช่วยในการวางแผนภาษีได้มากเลยค่ะ เพราะเป็นจำนวนเงินที่จะนำมาหักออกจากรายได้และค่าใช้จ่ายของเรา ซึ่งส่วนของรายได้และค่าใช้จ่ายนั้นเป็นรายการที่ต้องคำนวณโดยใช้ตัวเลขตามจริงและเราไม่สามารถควบคุมมันได้มากนัก ในขณะที่รายการค่าลดหย่อนเป็นรายการที่เราสามารถจัดการและวางแผนภาษีได้ด้วยตนเอง 

         โดยค่าลดหย่อนทางภาษีมีมากมายหลายรายการ นอกจากค่าลดหย่อนส่วนตัวที่ทุกคนมีเท่ากัน (จำนวน 60,000 บาท) แล้วนั้น เรายังสามารถวางแผนหาค่าลดหย่อนต่าง ๆ  ที่มีขึ้นตามนโยบายของรัฐได้ด้วย โดยการทำตามเงื่อนไขต่าง ๆ ที่กฎหมายกำหนดไว้ อาทิเช่น ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิต ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันสุขภาพ ค่าลดหย่อนกองทุนต่าง ๆ  เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือค่าลดหย่อนจากการบริจาค ฯลฯ เป็นต้น ซึ่งรายการเหล่านี้เราสามารถวางแผนเพื่อจัดการและควบคุมได้ และยิ่งมีค่าลดหย่อนมากเท่าไหร่ก็จะส่งผลให้เราสามารถประหยัดภาษีได้มากขึ้นเท่านั้นค่ะ

ยกตัวอย่าง เปรียบเทียบการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตามสถานการณ์ของนางสาวเก๋ข้างต้น หากรายได้และค่าใช้จ่ายยังคงมีเท่าเดิม แต่รายการค่าลดหย่อนมีเพิ่มขึ้น โดยนางสาวเก๋มีค่าลดหย่อนดังนี้ 

  1. ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท
  2. ค่าลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตทั่วไป หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท นางสาวเก๋จ่ายไปรวมทั้งปี 80,000 บาท 
  3. ค่าลดหย่อนเงินบริจาคให้แก่พรรคการเมืองที่นางสาวเก๋ชื่นชอบ หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท นางสาวเก๋จ่ายไปรวมทั้งปี 15,000 บาท
  4. ค่าลดหย่อนสำหรับนโยบายเที่ยวดีมีคืน หักได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 20,000บาท นางสาวเก๋ไปเที่ยวพักผ่อนที่เชียงใหม่ ใช้เงินไปทั้งหมด 30,000 บาท 
  5. ค่าลดหย่อนเงินบริจาคเพื่อการศึกษา การกีฬา การพัฒนาสังคม และโรงพยาบาลรัฐ หักได้ 2 เท่าของเงินบริจาคตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10 % ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนทั้งหมดรวมกัน นางสาวเก๋บริจาคเงินให้โรงพยาบาลไป 100,000 บาท

คำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาของนางสาวเก๋ โดยใช้วิธีเงินได้สุทธิและหักค่าใช้จ่ายตามจริง 

(รายได้) 10,000,000 – (ค่าใช้จ่าย) 8,000,000 – ค่าลดหย่อนส่วนตัวและรายการอื่น ๆ  รวม 60,00080,00010,00020,000 = เงินได้หลังหักค่าลดหย่อนทั้งหมดที่มี 1,830,000

หัก เงินบริจาคโรงพยาบาลรัฐ 2 เท่า แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อนทั้งหมดที่มี = 1,830,000 - 183,000เงินได้สุทธิคือ 1,647,000 บาท

(เงินได้สุทธิ) 1,647,000 x อัตราภาษีแบบก้าวหน้า

รายได้ (บาท)

อัตราภาษี

จำนวนภาษี (บาท)

0-150,000

ยกเว้นภาษี

0

150,001 – 300,000

5%

7,500

300,001-500,000

10%

20,000

500,001-750,000

15%

37,500

750,001-1,000,000

20%

50,000

1,000,001-1,647,000

25%

161,750

รวมภาษีที่ต้องชำระทั้งสิ้น 276,750 บาท

กล่าวโดยสรุปได้ว่า กรณีที่บุคคลธรรมดาขายของออนไลน์ในลักษณะซื้อมาขายไปนั้น สิ่งที่ต้องคำนึงในทางภาษีคือ

  1. วิธีการคำนวณภาษี ต้องพิจารณาว่าเราต้องคำนวณภาษีโดยวิธีใดบ้าง สามารถคำนวณโดยวิธีเงินได้สุทธิอย่างเดียว หรือต้องคำนวณโดยใช้วิธีเงินได้พึงประเมิน แล้วนำผลลัพธ์ภาษีมาเปรียบเทียบกันด้วย 
  2. การคำนวณภาษีตามวิธีเงินได้สุทธิ กรณีการขายของออนไลน์แบบซื้อมาขายไปซึ่งเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 นั้น เรามีสิทธิเลือกวิธีการหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แนวทาง คือ หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% หรือ หักค่าใช้จ่ายตามจริง ซึ่งต้องมีการเก็บหลักฐานการจ่ายไว้อย่างครบถ้วน และ 
  3. การวางแผนการใช้ค่าลดหย่อนทางภาษีอย่างถูกต้อง โดยการเก็บหลักฐานการจ่ายเงินตามรายการค่าลดหย่อนต่าง ๆ  ไว้ให้ครบถ้วน เช่น ใบรับรองการบริจาค, ใบเสร็จค่าเบี้ยประกัน ฯ เพื่อให้เราสามารถนำมาใช้ประกอบการหักค่าลดหย่อนได้อย่างไม่มีปัญหา

เพราะไม่ว่าจะเสียภาษีโดยวิธีการใด ก็หนีไม่พ้นข้อเท็จจริงที่ว่าสุดท้ายแล้วภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนที่เราต้องแบกรับนั่นเองค่ะ ดังนั้นสละเวลาทำความเข้าใจสักนิดเพื่อประหยัดภาษีไปได้ตลอดชีวิตก็อาจจะเป็นทางเลือกที่คุ้มกว่านะคะ


ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)

         ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) นั้นเป็นอีกหนึ่งประเภทภาษีที่สำคัญ ซึ่งคนทำอาชีพทำมาค้าขายไม่ว่าจะเป็นออฟไลน์หรือออนไลน์ ก็ควรจะต้องทราบและทำความเข้าใจให้ชัดเจนค่ะ เพราะไม่ว่าเราจะขายสินค้าหรือให้บริการอะไร หากสินค้าหรือบริการของเรานั้น ‘ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม’ เราก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมาย โดยในมุมของคนขายของออนไลน์ซึ่งเป็นผู้ประกอบการนั้น มีข้อควรทราบเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม ดังต่อไปนี้ 

  • เมื่อไหร่ที่จะต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม

         ในกรณีของภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กฎหมายไม่ได้แบ่งแยกหน้าที่ตามสถานะของผู้ประกอบการ กล่าวคือ กฎหมายไม่ได้สนใจว่าเราจะประกอบการในฐานะบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล แต่สนใจแค่ว่ากิจการของเรานั้นเป็นกิจการประเภทอะไร และมีรายได้เท่าไหร่ ดังนั้น ในการพิจารณาว่าเรามีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT หรือไม่ หรือต้องจดเมื่อไหร่นั้น ต้องพิจารณาไปทีละส่วน ดังนี้ค่ะ 

1. กิจการของเราได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มหรือไม่

         โดยกิจการขายสินค้าหรือให้บริการที่รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ถูกระบุไว้ใน มาตรา 81 แห่งประมวลรัษฎากร ซึ่งกำหนดให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับการประกอบกิจการที่เป็นการขายสินค้าในประเทศ และการให้บริการ อาทิเช่น การขายพืชผลทางการเกษตร การขายปุ๋ย การขายหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือตำราเรียน การให้บริการการศึกษา การให้บริการห้องสมุด ฯ เป็นต้น ซึ่งหากเป็นการขายสินค้าหรือให้บริการตามที่ระบุไว้ในมาตราดังกล่าวนี้ ผู้ประกอบการก็ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและไม่จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มนั่นเองค่ะ

         แต่อย่างที่เราได้เห็นจากตัวอย่างของกิจการข้างต้นที่ยกมานั้น ประเภทของสินค้าและบริการที่จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นมีลักษณะที่เฉพาะเจาะจง หรือหากพูดกันโดยสรุปง่าย ๆ คือ การขายของออนไลน์ส่วนใหญ่ที่เราทำกันในปัจจุบันนี้จะไม่อยู่ในขอบข่ายของการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตราดังกล่าว ดังนั้น กิจการขายของออนไลน์ส่วนใหญ่จึงเป็นกิจการที่ไม่ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ฉะนั้นแล้วเราจึงต้องไปพิจารณาเงื่อนไขเรื่องรายได้กันต่อค่ะ 

2. กิจการของเรามีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปีหรือไม่

         หากกิจการขายของออนไลน์ของเรามีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี[9] เราในฐานะผู้ประกอบการก็มีหน้าที่ต้องไปจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยจะต้องยื่นคำขอจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยใช้แบบ ภ.พ.01[10] และต้องยื่นภายใน 30 วันนับแต่วันที่กิจการมีรายได้เกินจำนวนดังกล่าว[11]ซึ่งการยื่นขอจดทะเบียนดังกล่าวนี้ถือเป็นหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดว่าต้องทำ ดังนั้นหากใครที่ประเมินรายได้จากการขายของออนไลน์ของตนเองแล้วเห็นว่ามีแนวโน้มจะเกิน 1.8 ล้านบาท ก็แนะนำให้ไปดำเนินการจดทะเบียนไว้ตั้วแต่เนิ่น ๆ  ดีกว่านะคะ 

โดย “รายได้” ในที่นี้ หมายความถึงรายได้ที่เป็นยอดขายหรือยอดค่าบริการที่เราได้รับมาจากลูกค้าทั้งหมด โดยที่ยังไม่หักค่าใช้จ่ายใด ๆ หรือเรียกว่า รายได้เพรียว ๆ นั่นเองค่ะ 

จดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มแล้วต้องทำอะไรบ้าง

         เมื่อกิจการได้ทำการจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มเรียบร้อยแล้ว กิจการก็มีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องทำในฐานะผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยหน้าที่ของผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วนหลัก คือ หน้าที่เกี่ยวกับใบกำกับภาษี และ หน้าที่เกี่ยวกับการจัดทำรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม นั่นเองค่ะ

1. หน้าที่ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับใบกำกับภาษี

         ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มมีหน้าที่ต้อง ‘ออกใบกำกับภาษีขาย’ และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7% ของราคาค่าสินค้าหรือบริการที่ตนขายหรือให้บริการจากผู้บริโภคหรือลูกค้าของต้นเพื่อนำส่งให้แก่กรมสรรพากรเป็นรายเดือน ยกตัวอย่างเช่น หากขายสินค้าในราคา 200 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่มบนสินค้าชิ้นนี้คือ 14 บาท รวมเป็นราคาสุทธิที่ลูกค้าต้องจ่ายให้กับเราคือ 214 บาท เป็นต้น

         โดยหลักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ นำยอดภาษีซื้อที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนซึ่งถูกผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มรายอื่นเรียกเก็บไป มาหักออกจาก ยอดภาษีขายที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนที่เราได้ทำการเรียกเก็บมาจากลูกค้าของเรา เหลือส่วนต่างเท่าไหร่ถือเป็นค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งให้แก่กรมสรรพากร

         ดังนั้นจะเห็นได้ว่าระบบของภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นไม่ได้ซับซ้อน แต่สิ่งที่ยากและควรคำนึงถึงก็คือ ‘ความสามารถของธุรกิจในการผลักภาระภาษีมูลค่าเพิ่มไปให้ลูกค้า’ เนื่องจาก โดยหลักการแล้วผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายคือ ‘ผู้ประกอบการ’ เพียงแต่กฎหมายเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถผลักภาระภาษีไปให้ผู้บริโภคหรือลูกค้าได้

อย่างไรก็ดีหากว่ากิจการหรือผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มคนใดไม่สามารถเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มเอาจากลูกค้าของตนได้ ความรับผิดในการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มก็ยังคงอยู่ที่ตัวผู้ประกอบการเอง ทำให้หากจัดเก็บไม่ได้ หรือตกหล่นไปนั้น ผู้ประกอบการก็จะต้องรับผิดชอบในหนี้ภาษีจำนวนนี้นั่นเองค่ะ 

         ดังนั้นแล้วสิ่งที่ควรต้องวางแผนและจัดการให้ดีคือ ‘การกำหนดราคาขายสินค้า หรือ ราคาค่าบริการ’ ให้ไม่กระทบต่อกำไรที่แท้จริงของธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของสินค้าที่มีลักษณะเป็นการซื้อมาขายไป ซึ่งใคร ๆ ก็สามารถรับมาขายได้ หรือกรณีเป็นสินค้าที่มีเหมือน ๆ  กันในท้องตลาด ลูกค้าหรือผู้บริโภคก็มักจะเลือกซื้อสินค้ากับผู้ขายที่ให้ราคาดีที่สุด หรือถูกที่สุดนั่นเอง ทำให้ผู้ขายที่ตั้งราคาถูกก็จะได้รับส่วนแบ่งทางการตลาดที่มากตามไปด้วย ดังนั้น สิ่งที่คนขายของออนไลน์ที่ยังไม่ได้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มควรต้องคิดในวันนี้คือ ราคาสินค้าที่เราตั้งอยู่นั้น มีต้นเท่าไหร่ กำไรเท่าไหร่ และถ้าจะต้องบวก VAT ไปอีก 7% ลูกค้ายังจะซื้อสินค้ากับเราอยู่ไหม หรือถ้าจะไม่บวก VAT แล้วใช้ระบบแบบภาษีมูลค่าเพิ่มรวมอยู่ในราคาสินค้าเลย เช่นนี้จะทำให้กำไรธุรกิจที่แท้จริงของเราหายไปเท่าไหร่ เพราะหากไม่บวกภาษีมูลค่าเพิ่มเข้าไปในราคาสินค้า ภาษีมูลค่าเพิ่มนี้ก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของต้นทุนซึ่งกิจการต้องจ่ายนั่นเองค่ะ 

ยกตัวอย่างเช่น

ร้านค้า A. ขายสินค้า ราคา 200 + VAT 7% รวมราคาขายสุทธิ 214 บาท มีต้นทุนในการซื้อสินค้ามาขาย 100 บาท กำไรจากขายจึงเป็น 100 บาท และ 14 บาทที่เก็บมาจากลูกค้าเป็นภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำไปหักลบกับภาษีซื้อ และนำส่งส่วนต่างให้แก่กรมสรรพากร 

ร้านค้า B. ขายสินค้า ราคารวมภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว 200 บาท มีต้นทุนในการซื้อสินค้ามาขาย 100 บาทเท่ากัน และมีต้นทุนเป็นค่าภาษีมูลค่าเพิ่มที่ต้องนำส่งอีก 7%

         ดังนั้น ราคาขายที่แท้จริงก่อนภาษีมูลค่าเพิ่มของร้านค้า B. คือ 186.92 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของราคาขาย คือ 13.08 บาท รวมต้นทุนของร้านค้า B. จึงเท่ากับ 113.08 บาท ทำให้กำไรธุรกิจที่แท้จริงของร้านค้า B. คือ 86.92 บาท

         จะเห็นได้ว่ากำไรที่แท้จริงของร้านค้า A. และร้านค้า B. นั้นไม่เท่ากัน เพราะมีภาษีมูลค่าเพิ่มเข้ามาเป็นปัจจัยในการคำนวณนั่นเอง อย่างไรก็ตามในสถานการณ์ดังกล่าวหากเป็นสินค้าชนิดเดียวกัน ร้านค้า B. ที่ขายราคาถูกกกว่าก็อาจจะได้รับความนิยมจากลูกค้ามากกว่า แต่ก็อาจขาดทุนในกำไรทางธุรกิจด้วยเช่นกัน ดังนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนคือ การกำหนดราคาขายให้ร้านของเราสามารถแข่งขันได้และไม่เป็นการเพิ่มภาระต้นทุนในกิจการมากเกินไปนั่นเองค่ะ

2. หน้าที่ในการทำรายงานภาษีมูลค่าเพิ่ม 

         ในแง่มุมของผู้ประกอบการซึ่งจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น นอกจากหน้าที่ซึ่งเกี่ยวกับใบกำกับภาษีแล้ว ยังมีหน้าที่ตามกฎหมายต้องจัดทำรายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่มด้วย ซึ่งรายงานภาษีมูลค่าเพิ่มมี 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้ค่ะ

รายงานภาษีขาย – กล่าวคือ ผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มต้องจัดทำรายงาน ‘ยอดภาษีขาย’ ทั้งหมด ที่กิจการได้รับมาจากการขายสินค้าหรือให้บริการในแต่ละเดือน เพื่อใช้ประกอบในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งโดยหลักแล้วภาษีขายที่เกิดขึ้นในเดือนใดก็ต้องลงเป็นภาษีขายของเดือนนั้น[12]

รายงานภาษีซื้อ – กล่าวคือ ผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มมีหน้าที่จัดทำรายงาน ‘ยอดภาษีซื้อ’ทั้งหมดที่กิจการถูกผู้ประกอบการภาษีมูลค่าเพิ่มรายอื่นเรียกเก็บไปในแต่ละเดือน เพื่อนำมาใช้หักลบกับยอดภาษีขายในเดือนเดียวกัน และใช้ประกอบในการยื่นภาษีมูลค่าเพิ่มในแต่ละเดือนด้วยนั่นเองค่ะ ซึ่งภาษีซื้อที่เกิดขึ้นในเดือนใดก็ต้องลงเป็นภาษีซื้อของเดือนนั้นเช่นเดียวกัน[13]

รายงานสินค้าและวัตถุดิบ (สำหรับกิจการขายสินค้าเท่านั้น) – คือรายงานที่ผู้ประกอบการต้องจัดทำไว้เพื่อแสดงจำนวนสินค้าและวัตถุดิบที่มีอยู่ในแต่ละเดือน ทั้งส่วนที่ คงเหลือซื้อมาเพิ่ม, หรือ ขายออกไป[14] รายงานนี้มีไว้เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ว่ามีการรับ–จ่ายสินค้าอย่างถูกต้องหรือไม่ เพราะฉะนั้น ใครที่ประกอบกิจการขายสินค้าจะทำรายงานนี้ให้ครบและอัปเดตทุกเดือนนะคะ จะได้ไม่มีปัญหาเวลาตรวจสอบภาษีภายหลังค่ะ

         อย่างไรก็ตามในประเด็นเกี่ยวกับเรื่องภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น ในบทความนี้หยิบยหมาเพียงประเด็นที่คนขายของออนไลน์ควรต้องทราบในสาระสำคัญเท่านั้น หากต้องการทราบในประเด็นนี้อย่างครบถ้วนและลงลึกในรายละเอียดมากกว่านี้สามารถหาอ่านได้ในบทความที่ชื่อว่า ภาษีมูลค่าเพิ่มคืออะไร ทำไมต้องจ่าย แล้วจำเป็นต้องจด VAT ไหม ?บนเว็บไซต์ของ Legardy ได้เลยนะคะ

ส่งท้าย

และหากใครที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ก็คงจะเห็นได้ว่าแท้จริงแล้วระบบภาษีของการขายของออนไลน์ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่หลายคนกลัวเลยค่ะ แค่เรา “รู้” และ “จัดการให้ถูกต้อง” ก็สามารถวางแผนภาษีได้สบาย ๆ 
อาจจะดูเหมือนเรื่องน่าปวดหัวในตอนแรก แต่เมื่อเข้าใจหลักการแล้ว จะกลายเป็นเครื่องมือช่วยให้เราบริหารธุรกิจได้มั่นคงและเติบโตอย่างถูกต้องแน่นอนค่ะ


[1] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 48. [2] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 48.

[3] กรมสรรพากร, การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา <https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/SMEs/infographic/Pit_63_6-1.pdf >

[4] กรมสรรพากร, <https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/SMEs/infographic/guideline50_50.pdf>

[5] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 48(2). [6] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 48(2). [7] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 47. 

[8] กรมสรรพากร, < https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/SMEs/infographic/guideline50_50.pdf>

[9] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 81/1 ประกอบ พระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 432/2548 ว่าด้วยการกำหนดมูลค่าของฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมซึ่งได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม.

[10] กรมสรรพากร, ‘คู่มือภาษีสำหรับผู้ประกอบการ’ <https://www.rd.go.th/62063.html> [11] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 85/1 (1). 

[12] กรมสรรพากร, ‘การจัดทำรายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม’ < https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/SMEs/infographic/15.vat_360.pdf >.

[13] กรมสรรพากร, ‘การจัดทำรายงานเกี่ยวกับภาษีมูลค่าเพิ่ม’ < https://www.rd.go.th/fileadmin/user_upload/SMEs/infographic/15.vat_360.pdf >.

[14] ประมวลรัษฎากร, มาตรา 87 ประกอบ มาตรา 82/16.

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “