เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-21

ทำสัญญาประนีประนอมยอมความ อย่างไรให้ผูกพันและบังคับคดีได้

สัญญาประนีประนอมยอมความ คืออะไร

            ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 บัญญัติไว้ว่า “อันว่าสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น คือ สัญญาซึ่งผู้เป็นคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายระงับข้อพิพาทอันใดอันหนึ่งซึ่งมีอยู่หรือจะมีขึ้นนั้นให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน”

            สรุปได้ว่า สัญญาประนีประนอมยอมความ คือ ข้อตกลงที่เกิดขึ้นจากคู่กรณีมีข้อขัดแย้งหรือโต้แย้งกัน แล้วตกลงยุติข้อพิพาทนั้นโดยการทำสัญญาเพื่อหาทางออกอย่างสันติ โดยต่างฝ่ายต่างยอมผ่อนปรนหรือสละสิทธิ์บางส่วนให้แก่กันเพื่อให้ข้อพิพาทสิ้นสุดลง ซึ่งถือเป็นวิธีระงับข้อพิพาททางกฎหมายอย่างหนึ่งที่ช่วยหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องและรักษาความสัมพันธ์ระหว่างคู่กรณีไว้

การทำสัญญาประนีประนอมยอมความให้มีผลบังคับได้

1. สัญญาประนีประนอมยอมความต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ 

หมายถึง เอกสารที่ระบุข้อตกลงในการยุติข้อพิพาทระหว่างคู่กรณีทั้งสองฝ่าย ซึ่งกฎหมายไม่ได้บังคับให้ต้องทำตามแบบฟอร์มเท่านั้น แต่ต้องมีเนื้อหาที่ชัดเจนว่า ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงยุติข้อพิพาทและยอมผ่อนผันให้กัน

อ่านเพิ่มเติม: ทำไมต้องทำสัญญาเป็นหนังสือ

2. สัญญาประนีประนอมยอมความต้องลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ 

หมายถึง สัญญาจะสมบูรณ์และมีผลตามกฎหมายได้ ต่อเมื่อมีลายเซ็นของฝ่ายที่ยอมรับภาระหรือยอมชำระหนี้ หากไม่มีลายมือชื่อของฝ่ายนี้ สัญญาฉบับนี้จะไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้ 

            ดังนั้น หากสัญญาประนีประนอมยอมความ ที่จะสามารถฟ้องและบังคับคดีได้ตามกฎหมายจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและมีการลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิด หรือลายมือชื่อตัวแทนของฝ่ายนั้นเป็นสำคัญ การทำสัญญาประนีประนอมด้วยวาจาหรือไม่ได้มีหลักฐานจึงไม่สามารถใช้บังคับได้


ข้อแนะนำรูปแบบในการทำสัญญาประนีประนอมยอมความ

            แม้ว่าการทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามกฎหมายเพียงแต่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดก็สามารถใช้บังคับได้แล้ว แต่ข้อแนะนำหากเป็นไปได้ควรจัดทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยระบุรายละเอียดให้ครบถ้วนและชัดเจน เพื่อให้สามารถนำสัญญาไปใช้เป็นพยานหลักฐานในการดำเนินคดีในชั้นศาลได้ง่ายและสะดวกมากขึ้น ควรมีองค์ประกอบดังนี้

            1. ชื่อสัญญา ควรระบุชื่อสัญญาให้ชัดเจน เช่น “สัญญาประนีประนอมยอมความ” เพื่อบ่งบอกลักษณะทางกฎหมายของเอกสาร

            2. วันที่ เดือน ปี ที่ทำสัญญา ใช้เป็นหลักฐานกำหนดอายุความและเวลาเริ่มมีผลบังคับใช้

            3. ชื่อคู่สัญญาและที่อยู่ ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง 

            4. ข้อพิพาทที่ต้องการยุติ โดยการระบุถึงสาเหตุหรือข้อพิพาทเดิมที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน เพื่อกำหนดขอบเขตของข้อพิพาทที่ยุติลงตามสัญญานี้

            5. ข้อตกลงที่ยอมผ่อนผันให้กัน โดยต้องระบุข้อตกลงให้ชัดเจนว่า แต่ละฝ่ายตกลงจะทำหรือไม่ทำอะไรให้แก่กัน และหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดข้อตกลงจะมีผลทางกฎหมายอย่างไร เช่น ตกลงชำระหนี้ ตกลงโอนทรัพย์สิน เพื่อให้มีผลผูกพันและเป็นหลักฐานในการฟ้องร้องบังคับคดีต่อไป

            6. การลงชื่อคู่สัญญาทุกฝ่ายและพยานพร้อมลายมือชื่อและพิมพ์ชื่อเต็ม เพื่อรับรองความถูกต้องและแสดงเจตนาผูกพันตามสัญญา โดยเฉพาะชื่อของฝ่ายที่ต้องรับผิด ถ้าไม่ลงชื่ออาจจะทำสัญญาฉบับนี้ไปฟ้องร้องบังคับคดีไม่ได้ 


การบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความ

            การที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามข้อตกลงที่ตกลงกันไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ เช่น ไม่ชำระหนี้ หรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ได้ตกลงกันไว้ในสัญญา สามารถบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความได้ 

            สัญญาประนีประนอมยอมความนั้นสามารถทำขึ้นได้ทั้งนอกศาล และในศาล การจัดทำสัญญาและบังคับคดีทั้งสองกรณีจึงมีความแตกต่างกัน ดังนี้

1. กรณีสัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาล

            กรณีที่บุคคลทั้งสองฝ่ายตกลงยุติข้อพิพาทกันโดยการทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ตั้งแต่ยังไม่ได้ฟ้องร้องคดีไปยังศาล เมื่อสัญญาถูกทำขึ้นนอกศาล ศาลจะไม่ทราบถึงการทำสัญญานี้ ดังนั้น หากมีฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง อีกฝ่ายจำเป็นต้องยื่นฟ้องต่อศาลตามสัญญานั้น เพื่อให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับให้อีกฝ่ายปฏิบัติตาม

            เมื่อคู่กรณีมีข้อพิพาทกันแต่ประสงค์จะยุติข้อพิพาทกันเองโดยไม่ต้องนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการศาล จึงตกลงทำ “สัญญาประนีประนอมยอมความ” ขึ้นระหว่างกัน เช่น ตกลงชำระหนี้เป็นงวด ๆ หรือยอมรับเงื่อนไขบางประการเพื่อยุติข้อพิพาท ทั้งนี้ การทำสัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาลเป็นการทำสัญญาซึ่งมีผลผูกพันตามกฎหมายเช่นเดียวกับสัญญาทั่วไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 

            อย่างไรก็ตาม เนื่องจากสัญญานี้ทำขึ้นโดยไม่มีการฟ้องคดีต่อศาล ศาลจึงไม่ทราบถึงการมีอยู่ของสัญญานี้และไม่สามารถบังคับได้โดยตรง ดังนั้น หากคู่สัญญาฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหรือผิดสัญญา อีกฝ่ายหนึ่งจำเป็นต้อง “ยื่นฟ้องต่อศาล” เพื่อขอให้ศาลมีคำพิพากษาบังคับตามสัญญาประนีประนอมยอมความก่อน เช่น ฟ้องให้ชำระเงินตามที่ตกลง หรือให้ปฏิบัติการอย่างใดอย่างหนึ่งตามเงื่อนไขในสัญญา

            กล่าวโดยสรุป สัญญาประนีประนอมยอมความนอกศาลมีผลผูกพันคู่สัญญาในทางแพ่ง แต่ยังไม่สามารถบังคับได้ทันที จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาลบังคับตามสัญญานั้นก่อนจึงจะสามารถบังคับคดีได้

2. กรณีสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล

            เมื่อคู่กรณีมีข้อพิพาทกันและได้ยื่นฟ้องร้องต่อศาล เพื่อขอให้ศาลตัดสินข้อพิพาทตามกฎหมาย ระหว่างที่คดียังอยู่ในกระบวนการพิจารณา คู่กรณีทั้งสองฝ่ายสามารถตกลงกันได้ที่จะยุติข้อพิพาทนั้นด้วยการประนีประนอมยอมความกันในศาล ข้อตกลงดังกล่าวจะถูกบันทึกไว้เป็น “สัญญาประนีประนอมยอมความ” และศาลจะมีคำพิพากษาตามข้อตกลงนั้น เรียกว่า “คำพิพากษาตามยอม” ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138

            ดังนั้น หากฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล จะถือว่าเป็นการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา อีกฝ่ายหนึ่งจึงสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อบังคับคดีได้ทันที โดยไม่ต้องฟ้องคดีใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2576/2531 

            คดีนี้ถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่แบ่งทรัพย์มรดกให้โจทก์จำนวน 9 ส่วนใน 21 ส่วน ในระหว่างบังคับคดีโจทก์ จำเลยทั้งสี่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยศาลชั้นต้นรับรู้เป็นผู้ทำให้มีข้อตกลงกันไม่ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาคดีนี้และให้ยุติคดีทุกคดีทั้งคดีที่พิพากษาแล้วและยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล และตกลงเกี่ยวกับทรัพย์สินกันใหม่ เมื่อโจทก์จำเลยทั้งสี่ได้ลงชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวต่อหน้าศาลแล้ว จึงเป็นสัญญาที่ใช้บังคับได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 โดยมีผลทำให้การเรียกร้องซึ่งแต่ละฝ่ายได้ยอมสละนั้นระงับสิ้นไป และทำให้แต่ละฝ่ายได้สิทธิตามที่แสดงไว้ในสัญญานั้นว่าเป็นของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 

            การบังคับคดีนี้และมูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาจึงเป็นอันระงับสิ้นไป โจทก์จำเลยทั้งสี่จึงต้องปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าว เมื่อจำเลยผิดสัญญาดังกล่าว โจทก์หรือเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของโจทก์ชอบที่จะไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยตามสิทธิที่เกิดขึ้นตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นจะกลับมาขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีตามคำพิพากษาซึ่งมูลหนี้ระงับไปแล้วหาได้ไม่

แผนภาพนี้สรุปขั้นตอนของ ทั้งกรณีนอกศาลและในศาล เพื่อความเข้าใจที่ง่ายและชัดเจน

สัญญาประนีประนอมยอมความ.png

อายุความ

            สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดหรือโดยสัญญาประนีประนอมยอมความให้มีกำหนดอายุความ 10 ปี ทั้งนี้ ไม่ว่าสิทธิเรียกร้องเดิมจะมีกำหนดอายุความเท่าใด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 142/2549 

            สิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยสัญญาประนีประนอมยอมความมีกำหนดอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32 ทั้งนี้ ไม่ว่าสิทธิเรียกร้องเดิมจะมีกำหนดอายุความเท่าใด จำเลยที่ 1 และที่ 2 ผิดสัญญาประนีประนอมยอมความวันที่ 10 ตุลาคม 2539 โจทก์ฟ้องคดีนี้วันที่ 29 กันยายน 2542 ยังไม่เกิน 10 ปี จึงไม่ขาดอายุความ

ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

         เพื่อความมั่นใจว่าสัญญาประนีประนอมยอมความจะมีผลบังคับตามกฎหมาย ควรปรึกษาทนายความก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความ ทั้งนี้เพราะสัญญาที่ทำด้วยวาจาหรือสัญญาที่ไม่สมบูรณ์ จะไม่สามารถใช้บังคับฟ้องร้องและบังคับคดีได้ การมีคำแนะนำจากทนายความผู้เชี่ยวชาญช่วยให้การร่างสัญญาครบถ้วน ชัดเจน และลดความเสี่ยงที่อาจเกิดข้อพิพาทเพิ่มเติมในอนาคตได้

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “