
ซื้อหุ้นสหรัฐ-หุ้นต่างประเทศแล้วได้กำไร เมื่อไหร่ที่ต้องเสียภาษีในไทย?

ทุกวันนี้การลงทุนในหุ้นต่างประเทศไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เพราะแค่มีแอปในมือถืออย่าง Dime หรือมีบัญชีธนาคาร ก็สามารถซื้อหุ้นสหรัฐฯ ได้ในไม่กี่นาที ซึ่งนี่นับเป็นโอกาสในการลงทุนและการทำกำไรสำหรับนักลงทุนรายย่อยอย่างเรา ๆ เป็นอย่างมากทีเดียวค่ะ
แต่อย่างไรก็ตามกำไรที่เห็นในพอร์ตทุก USD มี ‘ภาษี’ แฝงอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งเรื่องภาษีก็ถือเป็น Pain point ของนักลงทุนทั่วไปอย่างพวกเราเลย บางคนเข้าใจหุ้นนะ วิเคราะห์กราฟได้ ไม่ขาดทุนแน่นอน แต่พอมีกำไรแล้วมาเจอกับดักภาษีหุ้นบางทีก็ถึงกับปวดหัวเลยทีเดียว บทความนี้เลยอยากพาทุกคนมาทำความเข้าใจพื้นฐานกันว่าภาษีหุ้นต่างประเทศ สรุปแล้วมันเสียยังไงกันแน่นะ ?
ภาพรวมของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
การจะทำความเข้าใจหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเสียภาษีหุ้นต่างประเทศนั้น เราควรทำเข้าใจหลักคิดเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีของประเทศไทยกันก่อน เพื่อปูพื้นฐานไปสู่การเข้าใจเรื่องภาษีหุ้น โดยในประเทศไทยนั้นเราจัดเก็บภาษีจาก 2 หลักใหญ่ ๆ ด้วยกัน คือ
1) หลักแหล่งเงินได้ (Source based taxation) และ
2) หลักถิ่นที่อยู่ (Residence based taxation)
กรณีที่ 1) การจัดเก็บภาษีโดยใช้หลักแหล่งเงินได้
หมายความว่า หากเรามีเงินได้หรือรายได้ที่เกิดขึ้นจากการทำงานหรือกิจกรรมในประเทศไทย เรามีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้กับไทย ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนบนโลกก็ตาม[1]
กรณีที่ 2) การจัดเก็บภาษีโดยใช้หลักถิ่นที่อยู่
หมายความว่า แม้เราจะมีรายได้จากแหล่งอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ประเทศไทย แต่หากเราอาศัยหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย ก็ยังมีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้ไทยอยู่ดี เพราะตามหลักการนี้จัดเก็บโดยใช้เกณฑ์การอยู่อาศัย โดยไม่คำนึงว่าเงินได้นั้นจะได้รับมาจากแหล่งใดหรือประเทศใดนั่นเอง
ซึ่งการมีรายได้จากการลงทุนหุ้นต่างประเทศนั้นจะถูกประเทศไทยจัดเก็บภาษีโดยใช้หลักถิ่นที่อยู่นี้นั่นเองค่ะ ดังนั้นแม้จะมีรายได้ต่างประเทศ และบางอย่างก็ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในต่างประเทศไปแล้ว แต่ประเทศไทยก็ยังคงมีสิทธิ์จัดเก็บภาษีจากรายได้เหล่านี้อยู่ตามกฎหมายนะคะ[2]
⭐️ ปรึกษาทนายเบื้องต้นฟรี ง่ายๆผ่านทาง Free Q&A ของ Legardy โดยไม่จำเป็นต้องระบุตัวตน
หลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีโดยใช้หลักถิ่นที่อยู่

ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรค 2, 3 และ คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161-162/2566
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรค 2 ซึ่งให้อำนาจแก่รัฐไทยในการจัดเก็บภาษีตามหลักถิ่นที่อยู่ วางหลักเกณฑ์ไว้ว่า “ผู้อยู่ในประเทศไทย ซึ่งมีเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 ในปีภาษีที่ล่วงมาแล้วเนื่องจากหน้าที่การงาน หรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือทรัพย์สินที่อยู่ในต่างประเทศ ต้องเสียภาษีเงินได้..”
และ วรรค 3 ได้ให้ความหมายของการเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตามวรรคก่อนหน้าไว้ว่า“ผู้อยู่ในประเทศไทย หมายความถึง ผู้ที่อยู่ในประเทศไทยชั่วระยะเวลาหนึ่งหรือหลายชั่วระยะเวลารวมกันถึง 180 วันในปีภาษีหนึ่ง ๆ”
ประกอบกับ คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566
ได้มีการอธิบายขยายความมาตราดังกล่าวเอาไว้ว่า “บุคคลซึ่งเป็นผู้อยู่ในประเทศไทยตาม มาตรา 41 วรรค 3 ที่มีเงินได้พึงประเมินเนื่องจากหน้าที่งานหรือกิจการที่ทำในต่างประเทศ หรือเนื่องจากทรัพย์สินในต่างประเทศตาม มาตรา 41 วรรค 2 แห่งประมวลรัษฎากร ในปีภาษีดังกล่าว และได้นำเงินได้พึงประเมินนั้นกลับเข้ามาในประเทศไทยในปีภาษีใดก็ตาม ให้บุคคลนั้นมีหน้าที่ต้องนำเงินได้พึงประเมินนั้นมารวมคำนวณภาษี เพื่อเสียภาษีในประเทศไทย..”
สรุป: เมื่อไหร่ต้องเสียภาษีหุ้นต่างประเทศที่ไทย?
ดังนั้น จากข้อกฎหมายดังกล่าวจึงสามารถสรุปได้ว่า เงินได้จากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศนั้น เราจะต้องนำมาเสียภาษีให้กับประเทศไทยก็ต่อเมื่อมี 3 สถานการณ์ต่อไปนี้เกิดขึ้น คือ
1. มีเงินได้หรือรายได้เกิดขึ้นในปีภาษี
เช่น ได้รับเงินปันผลจากหุ้น US. หรือ มีการขายหุ้น US ออกไปแล้วได้กำไร หรือที่เรียกว่ากำไรจากการขาย (Capital Gains) และ
2. ในปีที่มีเงินได้ต่างประเทศเกิดขึ้นนั้น เราอาศัยอยู่ในประเทศไทยรวมกันถึง 180 วัน และ
3. เรานำเงินได้ดังกล่าวกลับเข้ามาในประเทศไทย
ไม่ว่าจะเป็นการนำกลับเข้ามาโดยวิธีการใด ๆ ก็ตาม เช่น การโอนผ่านบัญชีธนาคาร หรือการนำติดตัวเข้ามา[3]
ซึ่งจะเห็นได้ว่า ปีที่มีเงินได้เกิดขึ้นและเป็นผู้อยู่ในประเทศไทย กับ ปีที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีในประเทศไทยนั้น ไม่จำเป็นต้องเป็นปีภาษีเดียวกัน และ
ถ้าหากขาดเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่งไปเราก็ไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีในเงินได้จากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศให้กับประเทศไทยค่ะ
⚖️ อ่านกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: กฎหมายเกี่ยวกับภาษีอากร
ยกตัวอย่างเช่น
ในปี 2568 นาย A. อาศัยอยู่ในไทยตลอดทั้งปี และขายหุ้น Apple ได้กำไร 1,000 USD แต่นาย A. ไม่ได้นำเงินนั้นกลับเข้ามาในไทยเลย หากว่าตอนสิ้นปี 2568 นาย A. เดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ และนำกำไรจากการขายหุ้น Apple นั้นออกมาและใช้จนหมดในต่างประเทศ
กรณีนี้จะเห็นว่าขาดเงื่อนไขไปข้อหนึ่งคือ นาย A. ไม่ได้มีการนำเงินได้นั้นกลับเข้ามาในไทยเลย ดังนั้น นาย A.จึงไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทยในเงินได้จำนวนดังกล่าว
อย่างไรก็ตามหลักเกณฑ์ที่กล่าวไปข้างต้นนั้น เป็นหลักเกณฑ์ที่ค่อนข้างใหม่ ซึ่งมีการปรับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เองค่ะ
ก่อนหน้านี้เราอาจเคยได้ยินกันมาอยู่บ้างว่า เงินได้ต่างประเทศถ้าไม่อยากเสียภาษีในไทยให้นำกลับเข้าไทยในปีถัดจากปีที่เกิดเงินได้
เช่น หากมีเงินได้เกิดขึ้นในปี 2559 "ตามหลักเดิม" จะเสียภาษีในไทยก็ต่อเมื่อเรานำเงินจำนวนนั้นกลับเข้าไทยมาในปี 2559 แต่ถ้าหากนำกลับเข้ามาในปี 2561 หรือปีอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ปีที่เกิดเงินได้ก็จะไม่ต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทย ซึ่งหลักเกณฑ์นี้เคยถูกใช้บังคับจริง และเป็นหลักเกณฑ์เกิดจากการตีความของกรมสรรพากรในอดีตและใช้บังคับกันมาเป็นเวลานาน[4]
ดังนั้นจากผลพวงของหลักเกณฑ์ในอดีตดังกล่าว จึงอาจมีเงินได้บางจำนวนที่ไม่อยู่ในขอบข่ายของการเสียภาษีตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว ซึ่งก็คือ เงินได้ที่เกิดขึ้นก่อนการมีผลบังคับใช้ของคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 นั่นเองค่ะ โดยมีรายละเอียดปรากฏอยู่ใน
คำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.162/2566 ความว่า “หลักเกณฑ์การจัดเก็บภาษีตามคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566 นั้น มิให้ใช้บังคับกับเงินได้ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567”
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า หากว่าเรามีเงินได้จากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 แล้วโอนกลับเข้ามาในประเทศไทย แม้จะเป็นการโอนภายหลังวันที่คำสั่งดังกล่าวประกาศใช้บังคับ เราก็ไม่มีหน้าที่เสียภาษีให้กับประเทศไทยในเงินได้จำนวนดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นเงินได้ที่อยู่นอกขอบข่ายของหลักเกณฑ์ดังกล่าวนั่นเอง
📖 อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- อยากยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเอง เริ่มยังไงดี?
- ภาษีบริษัท ที่ผู้เปิดบริษัทเองควรรู้
- ทุกอย่างที่ต้องรู้เกี่ยวกับภาษีหัก ณ ที่จ่าย รวมถึงฟอร์มแนะนำ ข้อควรระวัง
- ประมวลกฎหมายรัษฎากรและภาษีต่างๆ
ซื้อหุ้นสหรัฐ-หุ้นต่างประเทศแล้วได้กำไร หมายถึงอะไรในทางภาษี

เมื่อได้ทำความเข้าใจพื้นฐานมาแล้ว ในส่วนนี้จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจในประเด็นเรื่อง ‘ภาษีหุ้นต่างประเทศ’ หรือภาษีที่มาพร้อมกับการลงทุนในหุ้นต่างประเทศกันต่อ ซึ่งในบทความนี้ขอเน้นเฉพาะการลงทุนในหุ้น US หรือหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดยอดฮิตและมาแรงมากในปัจจุบัน
โดยปกติถ้าเราซื้อหุ้นตัวไหนแล้วเข้าถูกช่วง ซื้อถูก ขายแพง ก็จะถือว่าเรากำไรใช่ไหมคะ ซึ่งในทางภาษีเราเรียกรายได้ส่วนนี้ว่า ‘กำไรจากการขาย’ (Capital Gains) แต่ก็มีนักลงทุนบางกลุ่มที่เน้นการลงทุนระยะยาว หวังให้บริษัทเติบโตและทำการแบ่งส่วนแบ่งกำไรจากการเติบโตนั้นมาให้ ตามสัดส่วนของหุ้นที่ตนถือหรือลงทุนไปในอนาคต ซึ่งในทางภาษีเราเรียกสิ่งนี้ว่า ‘เงินปันผล’ (Dividend) ค่ะ
ดังนั้นในมุมมองของกฎหมายภาษีรายได้ที่ได้รับจากการลงทุนหุ้นต่างประเทศนั้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ คือ กำไรจากการขาย และ เงินปันผลค่ะ
รายได้ที่ได้รับจากการลงทุนหุ้นต่างประเทศ 2 ประเภทหลักๆ
1. ภาษีกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gains Tax)
กำไรจากการขายหุ้น คือ ส่วนต่างราคาที่เราได้รับจากการซื้อ-ขายหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งคิดโดยนำ ‘ราคาขาย - ราคาทุน ณ วันที่ได้มา’ หรือวันที่เราทำการซื้อหุ้นนั้นมา ซึ่ง Capital Gains ที่ได้นับมานี้ หากครบเงื่อนไขที่กำหนดไว้ให้ต้องเสียภาษีตามกฎหมายของประเทศที่เกี่ยวข้อง เราก็มีหน้าที่จะต้องเสียภาษีให้กับประเทศนั้น ๆ ค่ะ
ซึ่งในบริบทที่เรากำลังพูดคุยกันอยู่นี้ คือกรณีที่คนไทยไปลงทุนในหุ้น US ดังนั้นประเทศที่เกี่ยวข้องกับกำไรดังกล่าวคือ ประเทศไทย และประเทศสหรัฐฯ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องพิจารณาคือ กฎหมายภาษีของประเทศสหรัฐฯ ซึ่งเป็นประเทศต้นทางที่เราเข้าไปลงทุน และ กฎหมายภาษีของประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่เราอาศัยอยู่นั่นเองค่ะ โดยเราจะเสียภาษีกำไรจากการขายให้แต่ละประเทศหรือไม่นั้นมาลองค่อย ๆ ดูกันไปทีละส่วนนะคะ
1.1 กฎหมายภาษีของประเทศสหรัฐ ฯ
ในกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gains) ที่เกิดจากการลงทุนในหุ้นของสหรัฐนั้น ตามกฎหมายภายในของประเทศสหรัฐฯ กำหนดให้ยกเว้นการจัดเก็บภาษีจากเงินได้ดังกล่าวไว้ สำหรับนักลงทุนต่างชาติที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งมันหมายความว่า นักลงทุนชาวไทยอย่างพวกเราที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในสหรัฐฯ เวลาขายหุ้น US แล้วได้กำไรมา จะไม่ต้องเสียภาษีให้กับประเทศสหรัฐฯ กล่าวคือ ขายได้กำไรเท่าไหร่ ตอนรับก็รับเต็มจำนวนนั่นเองค่ะ
1.2 กฎหมายภาษีของประเทศไทย
ในส่วนของประเทศไทยเองนั้นใช้สิทธิตามหลักถิ่นที่อยู่ในการจัดเก็บภาษีจากกำไรที่ได้รับจากการขายหุ้นสหรัฐฯ ตามที่ได้พูดคุยกันไปในตอนต้นของบทความ หมายความว่า หากเราขายหุ้นต่างประเทศแล้วเกิดกำไรขึ้น และกำไรนั้น เข้าเงื่อนไขครบทั้ง 3 ข้อ ดังนี้
- มีกำไรจากการขายหุ้นเกิดขึ้นจริง
- ในปีที่มีกำไรนั้น เราอยู่ในประเทศไทยรวมแล้วไม่น้อยกว่า 180 วัน
- มีการนำเงินกำไรจากการขายกลับเข้ามาในประเทศไทย
เมื่อครบทั้งสามเงื่อนไขเราก็มีหน้าที่ต้องนำกำไรจากการขายนี้มารวมคำนวณกับรายได้อื่น ๆ ที่เราได้รับมาในปีภาษีนั้น
เช่น เงินเดือน เงินค่ารับจ้างอื่น ๆ ฯ เพื่อเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้กับประเทศไทย ซึ่งเป็นภาษีที่จัดเก็บในอัตราก้าวหน้า โดยมีอัตราเริ่มตั้งแต่ 5% ไปจนถึง 35 % ขึ้นอยู่กับฐานรายได้รวมของเราในปีนั้นค่ะ
ซึ่งข้อสังเกตที่ควรรู้คือ หลายคนมักเข้าใจผิดว่ากรณีที่มีการซื้อ-ขาย หุ้นหลายตัวในปีเดียวกัน บางตัวมีกำไร แต่บางตัวขาดทุน หากนำมาหักกลบกันแล้วขาดทุนก็ถือว่าไม่มีกำไร จึงไม่ยื่นภาษี ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องค่ะ
เพราะกำไรจากการขายหุ้นจะถูกคิดภาษีแยกเป็นรายธุรกรรม[5] ดังนั้น ผลกำไรและผลขาดทุนของหุ้นแต่ละตัวก็จะถูกคิดภาษีแยกกัน หมายความว่า หากเราขายหุ้นตัวไหนได้กำไรก็ต้องมารวมเพื่อคำนวณภาษี แต่หากหุ้นตัวใดที่ขาดทุนก็ไม่ต้องนำมารวมคำนวณนั่นเองค่ะ
2. ภาษีเงินปันผล (Dividend Tax)
เป็นภาษีที่จัดเก็บจากเงินส่วนแบ่งกำไรที่เราได้รับจากการเข้าไปถือหุ้นในบริษัทต่าง ๆ แล้วบริษัทเหล่านั้นมีผลประกอบการที่ดีจนสามารถทำกำไรได้มากพอที่จะนำมาแบ่งปันให้กับนักลงทุน ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทของตน ซึ่งภาษีเงินปันผลนั้นก็มีหลักคิดคล้าย ๆ กับภาษีกำไรจากการขายหุ้น กล่าวคือ เราจะมีหน้าที่เสียภาษีก็ต่อเมื่อมีกฎหมายกำหนดให้ต้องเสีย ซึ่งในบริบทการลงทุนหุ้นสหรัฐฯนี้ก็มีทั้ง กฎหมายภาษีของประเทศสหรัฐฯ และ กฎหมายภาษีของประเทศไทย เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเช่นเดียวกัน ดังต่อไปนี้ค่ะ
2.1 กฎหมายภาษีของประเทศสหรัฐฯ
ในส่วนของเงินปันผลที่เราได้รับจากบริษัทในสหรัฐฯ นั้น ตามกฎหมายภายในของประเทศสหรัฐฯ กำหนดว่า ในทุก ๆ ครั้งที่มีการจ่ายเงินปันผลจากบริษัทในสหรัฐฯ ออกไปให้แก่ผู้ถือหุ้น หรือนักลงทุนชาวต่างชาติอย่างพวกเรานั้น ผู้จ่ายซึ่งก็คือบริษัทที่เราเข้าไปถือหุ้น มีหน้าที่ต้องทำการ ‘หักภาษี ณ ที่จ่าย 30 % ในเงินปันผลดังกล่าว’[6] ซึ่งหมายความว่า ในทุกครั้งที่มีการจ่ายเงินปันผล เราจะได้รับเงินจากบริษัทผู้จ่ายไม่เต็มจำนวน เพราะเขาหักภาษีจากเราไปนำส่งให้กรมสรรพากรสหรัฐฯ (IRS) นั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น นาย A. ถือหุ้นในบริษัท Google ต่อมาในปี 68 บริษัททำการจ่ายเงินปันผลให้กับนาย A. จำนวน 10,000 USD กรณีนี้เมื่อกฎหมายกำหนดให้บริษัทต้องทำการหักภาษีจากเงินปันผล 30% ทำให้นาย A.จะได้รับเงินจริงแค่ 7,000 USD นั่นเองค่ะ
แต่อย่างไรก็ตามประเทศไทยของเราได้มีการทำสัญญาไว้กับประเทศสหรัฐฯ เรียกว่า “อนุสัญญาเพื่อการเว้นการจัดเก็บภาษีซ้อน” (Double Tax Agreement: DTA) ซึ่ง DTA นั้นเป็นสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างรัฐ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยลดภาระภาษีซ้ำซ้อนให้แก่ประชาชนที่มีเงินได้จากประเทศคู่สัญญา กล่าวคือ สัญญานี้จะเข้ามาช่วยให้เราไม่ต้องเสียภาษี 2 ครั้ง ให้แก่ 2 ประเทศ ในเงินได้จำนวนเดียวกันนั่นเอง
โดยพื้นฐานของ DTA จะเป็นสัญญาที่ทำการแบ่งอำนาจการจัดเก็บภาษีให้รัฐใดรัฐหนึ่ง เมื่อรัฐที่ได้รับสิทธิ์จัดเก็บภาษีได้ทำการจัดเก็บไปแล้ว อีกรัฐหนึ่งก็มีหน้าที่ต้องทำการขจัดภาษีซ้อน โดยอาจใช้วิธีการยกเว้น หรือลดภาษีในเงินได้นั้น หรืออนุญาตให้ใช้สิทธิเครดิตภาษีที่เสียไปในประเทศคู่สัญญาได้ ซึ่งผลของ DTA ระหว่างไทยและสหรัฐนั้น ทำให้รายได้จากเงินปันผลที่พวกเรานักลงทุนชาวไทยได้รับจากบริษัทในสหรัฐฯ จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายเพียงแค่ 15% (จากปกติ 30%)[7] แต่การจะได้รับสิทธิดังกล่าวนี้ จะต้องทำการยื่นแบบฟอร์มที่ชื่อว่า “W-8 BEN” กับทางโบรกเกอร์ที่เราเข้าไปลงทุน ซึ่งเป็นแบบฟอร์มที่ใช้ยืนยันว่าเราไม่ใช่บุคคลที่มีสัญชาติอเมริกัน
แต่อย่างไรก็ตามหากเป็นกรณีการลงทุนในแอป Dime ที่เราคุ้นเคยกันนั้น ทางแอปพลิเคชั่นได้มีการยื่นแบบฟอร์มดังกล่าวแทนเราแล้ว[8]
ดังนั้น ทำให้นักลงทุนชาวไทยที่ลงทุนผ่าน Dime จะได้รับสิทธิ์ลดอัตราภาษีหัก ณ ที่จ่ายในเงินปันผลจากหุ้นสหรัฐฯ โดยไม่ต้องไปยื่นด้วยตนเอง ส่วนกรณีโบรกเกอร์อื่น ๆ อาจต้องไปพิจารณาเงื่อนไขรายละเอียดของแต่ละเจ้ากันอีกทีนะคะ
2.2 กฎหมายภาษีของประเทศไทย
ส่วนกรณีการจัดเก็บภาษีเงินปันผลที่ได้รับจากบริษัทสหรัฐฯ ตามกฎหมายภาษีของประเทศไทยนั้น ก็เป็นหลักเกณฑ์ที่ได้รับผลพวงมาจาก DTA ระหว่างไทย-สหรัฐฯ เช่นเดียวกัน เมื่อเงินปันผลดังกล่าวถูกจัดเก็บภาษีโดยประเทศสหรัฐฯ ไปแล้ว ทำให้ประเทศไทยมีหน้าที่ต้องทำการขจัดภาษีซ้อนในเงินได้ดังกล่าวไม่ให้ต้องเสียภาษี 2 ครั้ง
แต่อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าเสียภาษีให้สหรัฐฯ ไปแล้วจะไม่ต้องนำต้องนำมาเงินปันผลนั้นมารวมคำนวณภาษีในไทยนะคะ เพราะแม้ว่าจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้วก็ตาม เรายังมีหน้าที่ต้องนำเงินปันผลดังกล่าวไปรวมเพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามปกติค่ะ แต่เมื่อมีการยื่นและคำนวณภาษีออกมาแล้ว ตามกฎหมายภาษีของไทยจะทำการขจัดภาษีซ้อนในเงินปันผลโดย ‘การให้สิทธิเครดิตภาษีในเงินปันผล’ หมายความว่า เราสามารถนำภาษีที่ถูกหักไว้ในประเทศสหรัฐฯ มาหักออกจากภาษีที่ต้องเสียให้กับประเทศไทยได้นั่นเอง
ยกตัวอย่างเช่น ปี 68 นาย B. อาศัยอยู่ในประเทศไทยตลอดทั้งปี และได้รับเงินปันผลจากบริษัท Amazon 10,000 USD ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในประเทศสหรัฐฯ 15% ทำให้ได้รับเงินจริง 8,500 USD ต่อมาหากนาย B. นำเงินปันผลนี้กลับเข้ามาในประเทศไทย นาย B. ต้องนำเงินปันผลดังกล่าวมารวมเพื่อคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในประเทศไทย เมื่อคำนวณออกมาแล้วจึงจะสามารถใช้สิทธินำภาษีที่เสียไปในสหรัฐฯ จำนวน 1,500 USD มาหักออกจากภาษีที่ต้องเสียในประเทศไทยได้นั่นเอง
แต่อย่างไรก็ตามต้องอย่าลืมหลักการพื้นฐานข้างต้นที่ได้อธิบายไปว่า ไม่ว่าจะเป็นกำไรจากการขายหุ้น หรือเงินปันผลที่ได้รับจากการลงทุนในต่างประเทศนั้น
จะต้องเสียภาษีในไทยหรือไม่ต้องพิจารณา 3 ข้อหลัก ๆ คือ
1) มีเงินได้เกิดขึ้น
2) ปีที่เกิดเงินได้นั้นเราอยู่ในไทยครบ 180 วัน และ
3) มีการนำเงินได้นั้นกลับเข้ามาในประเทศไทย หากครบเงื่อนไข ก็มีหน้าที่ต้องเสียภาษีให้กับประเทศไทยแล้วค่ะ
📢 หากคุณกำลังมองหา คำแนะนำเรื่องการยื่นภาษี ต้องการปรึกษาปัญหาเกี่ยวกับภาษี หรือต้องการปรึกษาปัญหากฎหมายอื่นๆ ติดต่อทนายผู้เชี่ยวชาญ กว่า 700 คนทั่วประเทศผ่านเว็บไซต์ได้เลย
ข้อควรระวังและคำแนะนำ

1. ในประเด็นเรื่องภาษีจากการลงทุนหุ้นต่างประเทศนั้น จะเห็นได้ว่ามีเงินได้เข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ด้วยกัน 2 ประเภทหลักคือ กำไรจากการขายหุ้น และเงินปันผล ซึ่งมีวิธีการคำนวณและเสียภาษีที่ไม่เหมือนกันดังที่ได้กล่าวไปในข้างต้น ดังนั้นจึงมีข้อควรระวังในเรื่องของ ‘การแจกแจงและการแบ่งประเภทของรายได้’ ที่ได้รับมา ซึ่งจะนำมาใช้เป็นข้อมูลในการเสียภาษี
เพราะหากเราทำการแจกแจงผิดประเภท ก็อาจทำให้เสียภาษีไม่ถูกต้องนั่นเอง ดังนั้นในการบันทึกบัญชี การเก็บเอกสาร เพื่อชี้แจงรายได้ต่อกรมสรรพากรจึงควรมีการวางระบบและแยกประเภทให้ชัดเจนนะคะ
2. กรณีกำไรจากการขายหุ้น (Capital Gains) การจัดทำบันทึกบัญชีต้องใช้วิธีการทางบัญชีที่ได้รับการรับรองทั่วไป ซึ่งหลัก ๆ จะมีแนะนำอยู่ 2 วิธีค่ะ คือ
2.1 วิธีการคำนวณแบบเข้าก่อนออกก่อน (First In, First Out) โดยการบันทึกบัญชีแบบเข้าก่อนออกก่อนนี้มีหลักการว่า “หน่วยลงทุนที่ซื้อมาก่อน จะถูกถือว่าเป็นหน่วยลงทุนที่ขายออกไปก่อน” หรือพูดง่าย ๆ ว่าหุ้นตัวที่ซื้อมาก่อน ก็ถือว่าขายออกไปก่อน และ
2.2 วิธีการคำนวณแบบถัวเฉลี่ย (Average Cost) ซึ่งก็คือ วิธีคำนวณต้นทุนโดย “เฉลี่ยราคาทุนของหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ในปัจจุบัน เพื่อหาต้นทุนเฉลี่ยต่อหุ้น พูดให้ง่าย ๆ คือ ไม่สนว่าเราซื้อหุ้นตัวไหนเข้ามาก่อนหรือหลัง แต่จะเฉลี่ยต้นทุนของหุ้นทุกตัวให้เท่ากันหมด
โดยวิธีบันทึกต้นทุนต่างกันนั้นจะมีผลต่อจำนวน “กำไร” ที่แตกต่างกันด้วย และสุดท้ายมันก็จะส่งผลต่อจำนวนภาษีที่ต้องเสียด้วยนั่นเองค่ะ
ซึ่งเราเลือกวิธีการบันทึกบัญชีแบบไหนก็ได้ แต่แนะนำว่าหากเลือกแบบไหนแล้ว ก็ควรต้องใช้วิธีเดียวไปตลอดปีภาษี ไม่ควรเปลี่ยนวิธีไปมานะคะ
ส่งท้าย
สุดท้ายนี้ ต้องบอกไว้ก่อนว่าภาษีจากการลงทุนในหุ้นต่างประเทศนั้น ยังเป็นประเด็นที่อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของการตีความและการบังคับใช้กฎหมายในประเทศไทย หลายรายละเอียด เช่น วิธีการคำนวณ หรือการนำรายได้กลับเข้าประเทศ ยังมีความไม่ชัดเจนในทางปฏิบัติอยู่บ้าง
นักลงทุนจึงควรติดตามประกาศหรือแนวปฏิบัติจากกรมสรรพากรอย่างใกล้ชิด เพื่อให้มั่นใจว่าการเสียภาษีของเราถูกต้องตามกฎหมาย และไม่เกิดภาระภาษีซ้ำซ้อนโดยไม่จำเป็น อยากให้จำไว้เสมอว่าการเข้าใจภาษี คือการป้องกันความเสี่ยงให้กับเงินลงทุนของเราค่ะ
💬 อ่านคำปรึกษากฎหมายและคำตอบจากทนาย (Q&A)
- Q: มีจดหมายขอเงินภาษีคืนจากสรรพากร
- Q: ถูกกรมสรรพากรยื่นจดหมายยกเลิกขอคืนภาษี
- Q: ต้อการทราบว่าต้องจ่ายภาษีมั้ย (TikTok Shop)
[1] ประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรค 1.
[2] ประมวลรัษฎากร มาตรา 41 วรรค 2.
[3] กรมสรรพากร, คำถาม-คำตอบ เรื่อง การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร.
[4] ถูกยกเลิกโดยคำสั่งกรมสรรพากรที่ ป.161/2566.
[5] กรมสรรพากร, คำถาม-คำตอบ เรื่อง การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามมาตรา 41 วรรคสอง แห่งประมวลรัษฎากร.
[6] Internal Revenue Code, section 871.
[7] อนุสัญญาระหว่างรัฐบาลแห่งราชอาณาจักรไทย และรัฐบาลสหรัฐอเมริกาเพื่อการเว้นการเก็บภาษีซ้อนและการป้องกันการเลี่ยงรัษฎากรในส่วนที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้.
[8] Dime, ‘ลงทุนหุ้นสหรัฐอเมริกา ยื่นภาษียังไง? Dime มีตัวช่วย! กับบริการสรุปกระแสเงินสดและเงินปันผลจากต่างประเทศ’ <https://dime.co.th/th/articles/offshore-annual-summary>
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ








