คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2522
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2123/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 374
สัญญาต่างตอบแทนให้สร้างตึกเช่า 15 ปี แต่ไม่ได้จดทะเบียนผู้ให้เช่าขายที่ดินโดยผู้ซื้อบันทึกยอมรับข้อผูกพันเดิม จึงมีผลถึงสัญญาตอบแทนที่ชำระหนี้แก่คนภายนอกด้วย ผู้ซื้อต้องให้ผู้เช่าเช่าต่อไปตามสัญญาเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2120/2522
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 2 (4)
จำเลยเอาความเท็จฟ้องว่าโจทก์ชิงทรัพย์ และเบิกความเท็จทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์เป็นผู้เสียหายฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 175,177 ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2104/2522
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 31
ก. นั่งอยู่กับจำเลยในศาล ศาลอ่านคำพยานโจทก์ให้พยานฟังตามที่ศาลจดไว้ว่า ร้านอยู่ห่างกัน 20 วา ทนายโจทก์และพยานแถลงว่าที่ถูกเป็น 20 ห้อง ไม่ใช่ 20 วา ก.ลุกขึ้นพูดว่า "20 วา ไม่ใช่ 20 คูหาเพราะได้จดไว้" ศาลกำชับว่าคนนอกคดีไม่มีสิทธิทำเช่นนั้นก. ก็ไม่ขัดขืนอย่างไร ดังนี้ ยังไม่ถือเป็นประพฤติไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล ไม่เป็นละเมิดอำนาจศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2119/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 164, 680, 898, 908
เมื่อโจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 รับผิดในมูลหนี้ตามสัญญาขายลดตั๋วเงินที่จำเลยที่ 1 ทำไว้ต่อโจทก์ และให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้ค้ำประกันการขายลดตั๋วเงินดังกล่าว หาได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดในมูลหนี้ตามตั๋วแลกเงินไม่สัญญาขายลดตั๋วเงินไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะดังนั้น จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 คือมีกำหนดอายุความ 10 ปี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2116 - 2117/2522
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 90, 147, 157, 264, 268
จำเลยกับพวกร่วมกันปลอมลายมือชื่อของบุคคลอื่นหลายคนลงในบัญชีหลักฐานการจ่ายค่าแรงงาน ซึ่งความจริงบุคคลเหล่านั้นไม่เคยทำงาน และไม่ได้รับเงิน แล้วจำเลยกับพวกได้เสนอบัญชีหลักฐานการจ่ายค่าแรงนี้ไปขอเบิกเงินจากทางราชการ และเบียดบังเอาเงินจำนวนนั้นไปเป็นของ ตนและผู้อื่นเสียโดยทุจริตอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,264,268 นั้น เห็นได้ว่าการที่จำเลยกับพวกปลอมและใช้เอกสารปลอมดังกล่าว ก็โดยเจตนาที่จะใช้เป็นหลักฐานในการเบียดบังยักยอกเงินอันเป็นค่าแรงนั่นเอง การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียว แต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 อันเป็นบทหนัก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 428/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 164, 1012, 1272 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 172, 179
เดิมโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ครึ่งแปลง และจำเลยได้รับเงินไปเรียบร้อยในวันทำสัญญาครั้นเมื่อจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ขอแก้ไขคำฟ้องเดิมโดยเพิ่มเติมข้อความว่า โดยจำเลยตกลงให้โจทก์นำเงินไปชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ที่บริษัท ย.ค้างชำระบริษัท ว..และโจทก์ได้ชำระเงินให้แก่บริษัทว.เรียบร้อยแล้ว. จึงถือว่าจำเลยได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปจากโจทก์เรียบร้อยแล้วในวันทำสัญญา. ข้อความที่โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมนี้.เป็นแต่เพียงอธิบายข้อความที่กล่าวว่าจำเลยได้รับเงินจากโจทก์แล้วในวันทำสัญญานั้นโจทก์จำเลยตกลงกันให้ถือเอาการที่โจทก์นำเงินไปชำระหนี้ซึ่งบริษัท ย.ของจำเลยติดค้างอยู่กับบริษัทว. ของโจทก์เป็นการชำระราคาที่ดินที่จำเลยทำสัญญาจะขายให้แก่โจทก์นั่นเอง แม้จะเป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงเพิ่มขึ้นจากคำฟ้องเดิมและกล่าวพาดพิงไปถึงบริษัทของจำเลยซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างหากจากตัวจำเลย โจทก์มีสิทธิทำได้
โจทก์ไม่ได้ฟ้องเรียกเงินค่ารถยนต์ที่ค้างชำระข้อที่ว่าบริษัทของจำเลยค้างชำระราคารถยนต์อยู่เท่าใด จึงเป็นรายละเอียดซึ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวมาในฟ้อง
สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินซึ่งกำหนดไว้ว่าจำเลยจะไปจดทะเบียนให้โจทก์เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมภายใน 1 ปี เพียงแต่มีข้อตกลงกันเป็นพิเศษยอมให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนำที่ดินที่จะซื้อขายกันนี้ไปขายให้แก่บุคคลภายนอกได้โดยจะต้องนำเงินที่ขายได้มาแบ่งกันคนละครึ่งเท่านั้นการมีข้อตกลงเป็นพิเศษเพียงเท่านี้หาทำให้สัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกลายเป็นสัญญาหุ้นส่วนไปไม่ และกฎหมายมิได้กำหนดอายุความสำหรับการเรียกร้องให้แบ่งเงินตามข้อตกลงดังกล่าวจึงมีอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2113/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 315, 821
บริษัทตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ของโจทก์มอบรถยนต์ของโจทก์แก่ส.ไปขายต่างจังหวัด.จำเลยซื้อรถยนต์จากส. โดยจำเลยลงลายมือชื่อในแบบพิมพ์สัญญา ไปให้โจทก์กรอกข้อความส่งคืนมา ทำอยู่ 1 ปี ขายรถยนต์ไปกว่า 100 คัน โดยโจทก์ไม่ทักท้วงจน ส. หลบหนีไป เป็นการยอมให้ ส.เชิดออกเป็นตัวแทนของโจทก์ จำเลยชำระราคารถยนต์แก่ ส.ถือว่าชำระแก่ผู้มีอำนาจรับชำระ อยู่ในความหมายของคำว่าชำระหนี้แก่เจ้าของรถยนต์ ไม่ถือเป็นการฝากส่งเงินแก่โจทก์ตามที่ระบุในสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 421/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 5, 6, 420, 421 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 280, 284, 288
ที่พิพาทเป็นทรัพย์มรดกของบิดามารดาโจทก์และภริยาของลูกหนี้จำเลย ลูกหนี้จำเลยเป็นผู้ทำนาในที่พิพาทตลอดมาขณะที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดที่พิพาทโจทก์ก็อยู่ด้วย โจทก์มิได้คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียวและมิได้นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาแสดงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุให้จำเลยไม่อาจทราบได้ว่าที่พิพาทไม่ใช่เป็นของลูกหนี้ตามคำพิพากษา การที่จำเลยนำยึดที่พิพาทจึงเป็นการใช้สิทธิทางศาลโดยสุจริต มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหายจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2111/2522
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1713
ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดก ผู้คัดค้านยื่นคำคัดค้านขอให้ตั้งผู้คัดค้านที่ 3 เป็นผู้จัดการมรดก ได้ความว่าฝ่ายผู้ร้องและฝ่ายผู้คัดค้านต่างเป็นทายาทของเจ้ามรดก เมื่อเจ้ามรดกถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรมไว้ ทั้งสองฝ่ายต่างทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์มรดกของเจ้ามรดกที่ตกทอดได้แก่ตนให้แก่ ถ. น้องชายของเจ้ามรดกไว้ โดยผู้ร้องได้ที่ดินกับหุ้น ผู้คัดค้านได้เงินสดไป 4,500,000 บาท ดังนี้ เมื่อการยื่นคำร้องขอจัดการมรดกของผู้ร้องเป็นผลสืบเนื่องมาจากว่า การจัดการมรดกขัดข้องเฉพาะการโอนอสังหาริมทรัพย์กับหุ้นที่จะต้องโอนกันตามข้อตกลง ซึ่งจะต้องมีผู้จัดการมรดกผู้คัดค้านจึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะเข้ามาเป็นผู้จัดการมรดกรายนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2107/2522
พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 ม. 22, 22 ทวิ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2503 ม. 10, 11
ผู้พิพากษาผู้พิจารณาคดีในศาลแขวงได้มีคำสั่งในคดีที่ต้องห้าม อุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง ฯลฯ มาตรา22 ว่า "ครบ กำหนดวันที่ 1 เป็นวันเสาร์และวันที่ 2 เป็นวันอาทิตย์ซึ่งหยุดราชการ โจทก์ร่วมจึงมีสิทธิยื่นวันนี้ได้ รับเป็นอุทธรณ์ สำเนาให้จำเลย" ดังนี้ ไม่ถือว่าผู้พิพากษาผู้นั้นได้มีคำสั่งอนุญาตให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะในคำสั่งมิได้ชี้แจงแสดงเหตุผลว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลอุทธรณ์และมีคำสั่งอนุญาตให้อุทธรณ์ได้ อุทธรณ์ของโจทก์ร่วมจึงไม่เป็นอุทธรณ์ที่จะรับไว้พิจารณา