คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2525

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 758

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 758/2525

พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ.2469 ม. 27 พระราชบัญญัติควบคุมการแลกเปลี่ยนเงิน พ.ศ.2485 ม. 4, 8

ธนบัตรของกลางเป็นธนบัตรรัฐบาลไทย และเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายในประเทศไทย มิใช่สิ่งของอันอาจนำไปจำหน่ายเป็นสินค้าอย่างธรรมดาทั่ว ๆ ไปได้ธนบัตรของกลางจึงมิใช่ "ของ" ตามความหมายในมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ.2469 ฉะนั้น การกระทำของจำเลยที่นำธนบัตรของกลางออกไปและเข้ามาในราชอาณาจักรจึงไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ.2469 มาตรา 27

ธนบัตรและเรือเพลายาวของกลางมิใช่ทรัพย์สินที่จำเลยมีไว้เป็นความผิดได้ใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิดหรือได้มาโดยการกระทำผิดและการกระทำของจำเลยก็มิได้เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรพ.ศ.2469 จึงริบธนบัตรและเรือของกลางไม่ได้ทั้งจ่ายรางวัลให้เจ้าพนักงานก็ไม่ได้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 740

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 739 - 740/2525

พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518 ม. 31, 95, 121, 123 พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 ม. 49

การเลิกจ้างอย่างไรเป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 นั้น ศาลสามารถวินิจฉัยได้โดยคำนึงถึงเหตุอันควรไม่ควรในการเลิกจ้าง.ประกอบกับระเบียบข้อบังคับการทำงานซึ่งถือได้ว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง ซึ่งไม่จำต้องวินิจฉัยโดยอาศัยหลักเกณฑ์ตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. 2518 มาตรา 121,123ซึ่งเป็นคนละกรณีกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1637

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1637/2525

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 406, 407, 420, 1007

ผู้สั่งจ่ายออกเช็คล่วงหน้าสั่งธนาคารโจทก์จ่ายเงินจำนวนหนึ่งแก่ ช. ต่อมาได้มีการแก้ไขจำนวนเงินในเช็คให้สูงขึ้น แล้ว ส. ได้นำเช็คดังกล่าวมามอบให้ธนาคารจำเลยเพื่อเป็นประกันหนี้เบิกเงินเกินบัญชีของ ส. ครั้นเช็คถึงกำหนด จำเลยได้เรียกเก็บเงินจากโจทก์หักล้างหนี้ของ ส.ต่อมาผู้สั่งจ่ายทราบจึงเรียกเงินคืนจากโจทก์ โจทก์ได้จ่ายเงินจำนวนที่ถูกแก้ไขให้สูงขึ้นแก่ผู้สั่งจ่ายแล้วมาฟ้องเรียกคืนจากจำเลย ดังนี้ เมื่อการแก้ไขเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าจึงเป็นการแก้ไขเปลี่ยนแปลงที่ไม่ประจักษ์ในข้อสำคัญเมื่อผู้สั่งจ่ายไม่ได้รู้เห็นยินยอมในการแก้ไขด้วย จำเลยผู้ทรงเช็คย่อมมีสิทธิบังคับการใช้เงินตามเช็คได้เพียงจำนวนเงินเดิมก่อนมีการแก้ไขเท่านั้นจำนวนที่เกินเป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ เมื่อโจทก์มิได้จ่ายเงินให้จำเลยรับไปตามอำเภอใจ แต่จ่ายไปโดยเชื่อว่าผู้สั่งจ่ายออกเช็คสั่งจ่ายเงินตามจำนวนที่แก้ไข จำเลยจึงต้องคืนเงินส่วนที่รับเกินมาแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่โจทก์แจ้งให้ทราบ

แม้ผู้สั่งจ่ายเขียนเช็คเว้นช่องว่างหน้าตัวเลขและตัวหนังสือจำนวนเงินไว้มากเป็นเหตุให้มีการเพิ่มเติมจำนวนเงินได้ง่าย แต่จำนวนเงินส่วนเกินที่จำเลยรับก็เป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ หากจำเลยได้รับความเสียหายจากความประมาทเลินเล่อของผู้สั่งจ่ายอย่างไรก็เป็นเรื่องที่จำเลยจะต้องว่ากล่าวเอาแก่ผู้สั่งจ่าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1633

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1633/2525

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 453, 487, 1249, 1250, 1252, 1259 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 61, 172

แม้โจทก์จะตั้งข้อหาในฟ้องว่า ซื้อขาย เช็ค แต่คำฟ้องของโจทก์ที่แท้จริงอยู่ที่คำบรรยายฟ้องเมื่อโจทก์บรรยายฟ้องมาเป็นเรื่องจ้างทำของก็ต้องถือว่าคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยเรื่องสัญญาจ้างทำของ เช็คที่โจทก์อ้างมาในฟ้องเป็นเพียงการอ้างถึงหลักฐานแห่งการชำระหนี้ส่วนหนึ่งของจำเลยที่โจทก์ยังไม่ได้รับชำระเท่านั้น

สัญญาจ้างทำของกฎหมายมิได้บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือจึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้แนบสัญญาจ้างทำของหรือบรรยายรายละเอียดเกี่ยวกับเช็คมาในฟ้อง หรือบรรยายรายละเอียดว่าจำเลยสั่งให้โจทก์ทำตั้งแต่วันใด กี่คราวบ้าง ก็เป็นเรื่องรายละเอียดที่จะนำสืบในชั้นพิจารณา ฟ้องโจทก์จึงหาเคลือบคลุมไม่

ขณะโจทก์ยื่นฟ้องโจทก์ยังมีสภาพเป็นนิติบุคคลอยู่โดยมีช.เป็นผู้จัดการเมื่อจดทะเบียนเลิกห้างแล้วช. เป็นผู้ชำระบัญชีของโจทก์ต่อมาช. จึงมีฐานะเป็นผู้แทนของโจทก์เพื่อชำระสะสางการงานของห้างโจทก์ให้เสร็จไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1249,1250 และ 1252 โดยผู้ชำระบัญชีไม่จำต้องแต่งทนายความให้มาดำเนินคดีใหม่หรือยื่นคำร้องต่อศาลขอเข้าดำเนินคดีแทนห้างโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1629

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1629/2525

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 537 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55, 84, 161, 167

คู่ความท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยในประเด็นเดียวว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทหรือไม่ เมื่อศาลฟังว่าจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาเช่าตึกแถวพิพาทจากโจทก์โจทก์ก็ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลยฐานผิดสัญญาได้โดยไม่จำต้องหยิบยกประเด็นที่ว่าโจทก์เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในตึกแถวพิพาทหรือไม่ขึ้นวินิจฉัย ข้อวินิจฉัยของศาลดังกล่าวไม่เป็นการนอกฟ้องนอกประเด็น

ค่าฤชาธรรมเนียมนั้นมาตรา 167 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบัญญัติให้ศาลสั่งลงไว้ในคำพิพากษาไม่ว่าคู่ความจะมีคำขอหรือไม่และมาตรา 161ก็บัญญัติให้อยู่ในดุลพินิจของศาลที่จะมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมตามคำท้าที่โจทก์ไม่ติดใจเรียกให้จำเลยรับผิดตามคำขอท้ายฟ้องข้ออื่นนั้นคำว่าข้ออื่นมิได้หมายความถึงค่าฤชาธรรมเนียมด้วย ศาลจึงต้องสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 861/2525

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 125

ตามข้อบังคับการประชุมและการปรึกษาของคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด พ.ศ.2492(ฮ.ศ.1368) ข้อ 20 กำหนดจำนวนกรรมการที่จะเป็นองค์ประชุมไว้ว่ากรรมการมาประชุมเกินกว่ากึ่งหนึ่งจึงนับเป็นองค์ประชุม เมื่อกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานครมีจำนวน15 นายกรรมการต้องมาประชุมอย่างน้อย 8 นาย จึงจะครบเป็นองค์ประชุมการประชุมของคณะกรรมการอิสลามประจำกรุงเทพมหานครจำนวน 7 นายที่ลงมติถอดถอนโจทก์ออกจากตำแหน่งอิหม่ามไม่ครบองค์ประชุมจึงไม่มีผลบังคับโจทก์

แม้ข้อบังคับการประชุมฯ จะกำหนดให้ใช้ข้อบังคับนี้นับตั้งแต่วันถัดจากวันที่ประธานกรรมการลงนามแล้วเป็นต้นไปและข้อบังคับที่ส่งศาลไม่ได้ระบุวันเดือนปีที่ประกาศไม่ได้ลงชื่อประธานกรรมการคงมีแต่แบบพิมพ์เว้นว่างไว้ก็ตาม แต่ก็เป็นเอกสารที่คู่ความทั้งสองฝ่ายอ้างอิงคู่ความทั้งสองฝ่ายไม่ได้คัดค้านว่าเป็นข้อบังคับที่ไม่มีต้นฉบับหรือว่าต้นฉบับนั้นปลอมทั้งฉบับหรือบางส่วน หรือข้อความที่ลงพิมพ์ไม่ถูกต้องกับต้นฉบับจึงถือได้ว่าข้อบังคับดังกล่าวใช้บังคับแล้วและข้อความที่ลงพิมพ์ถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 125

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 727

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 727/2525

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 1646, 1647, 1713

การที่ผู้ทำพินัยกรรมใช้ถ้อยคำว่า 'ขอทำพินัยกรรมไว้' ในพินัยกรรมที่ทำขึ้นนั้น ถือว่าเป็นการกำหนดการเผื่อตายไว้แล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1647

เมื่อผู้ร้องเป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมแต่ผู้เดียวผู้คัดค้านไม่มีส่วนได้เสียในมรดกตามพินัยกรรมนั้น จึงไม่มีเหตุที่จะตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1627

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1627/2525

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 55 ประมวลรัษฎากร ม. 3 อัฏฐ

อำนาจขยายหรือให้เลื่อนกำหนดเวลาตามความในมาตรา 3 อัฏฐแห่งประมวลรัษฎากร เป็นอำนาจของอธิบดีกรมสรรพากรหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในอันที่จะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยสั่งการโดยเฉพาะ เป็นคนละขั้นตอนกับการที่จะใช้สิทธิทางศาลเพื่อขอให้พิพากษาบังคับได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 เมื่อตามฟ้องโจทก์ไม่ปรากฏว่าคำสั่งของอธิบดีที่ไม่อนุญาตให้โจทก์ขยายระยะเวลาการอุทธรณ์กระทำไม่ชอบหรือผิดกฎหมายอย่างใดอธิบดีกรมสรรพากรจึงมีอำนาจที่จะออกคำสั่งในเรื่องนี้ได้โดยชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1626/2525

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 39, 40, 65

จำเลยที่ 1 ที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดอุตรดิตถ์แต่งตั้งให้ทนายความซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่กรุงเทพมหานครดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลแพ่งการที่ทนายความของจำเลยที่ 1ที่ 2 มอบให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องต่อศาลขอถอนตนจากการเป็นทนายความของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ในวันนัดสืบพยานโจทก์อ้างว่ามีความคิดเห็นไม่ลงรอยกัน โดยจำเลยที่ 1 ที่ 2ยังไม่ทราบว่าทนายความขอถอนตนเช่นนี้ จะถือว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 จงใจไม่มาศาลในวันสืบพยานยังไม่ถนัดเพราะจำเลยที่ 1 ที่ 2 อยู่ต่างจังหวัด ส่วนทนายอยู่กรุงเทพมหานครซึ่งในวันนัดสืบพยานโจทก์ ตัวจำเลยที่ 1ที่ 2 คงจะคาดหมายว่าทนายความของตนจะเป็นผู้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายต่อไปตามปกติ มิได้คาดหมายว่าทนายจะถอนตนถ้าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ทราบก็จะต้องแต่งทนายความใหม่เพื่อสู้คดี เพราะได้ยื่นคำให้การไว้แล้วเพื่อให้ความยุติธรรมดำเนินไปด้วยดี ศาลชั้นต้นควรเลื่อนการพิจารณาไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 39

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 40

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 39 - 40/2525

ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง กำหนดกิจการที่มิให้ใช้บังคับตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน

สำนักงานธนานุเคราะห์ กรมประชาสงเคราะห์ ดำเนินธุรกิจเช่นเดียวกับธุรกิจของเอกชน ซึ่งอยู่ในบังคับของประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน

การที่พนักงานรัฐวิสาหกิจต้องออกจากงานเพราะเกษียณอายุเป็นการเลิกจ้างอย่างหนึ่งหาใช่เป็นการออกจากงานโดยผลของกฎหมายไม่ และไม่ใช่เป็นการจ้างที่มีกำหนดเวลาแน่นอน

การจ่ายค่าชดเชยตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน เป็นหน้าที่ซึ่งกฎหมายบังคับให้นายจ้าง ต้องปฏิบัติหลักเกณฑ์ในการจ่ายก็ต้องเป็นไปตามที่กำหนดไว้นั้นนายจ้างหามีอำนาจที่จะกำหนดหลักเกณฑ์ในการจ่ายค่าชดเชยขึ้นเองให้ขัดแย้งกับประกาศดังกล่าวไม่

เงินค่าครองชีพเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานปกติของลูกจ้าง แม้จะเป็นการชั่วคราวแต่ก็เป็นการชั่วคราวจนกว่าจะปรับปรุงโครงสร้างค่าจ้างให้ถูกต้องเหมาะสมยิ่งขึ้น ค่าครองชีพจึงเป็นค่าจ้างส่วนหนึ่ง ซึ่งต้องนำมาคำนวณค่าชดเชยด้วย

« »
ติดต่อเราทาง LINE