คำพิพากษาศาลฎีกา ปี 2543
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1814/2543
ประมวลกฎหมายอาญา ม. 32, 33 (2) พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2465 ม. 102
การที่โจทก์ขอให้ริบทรัพย์ของกลางที่กล่าวอ้างมาในคำฟ้องว่าจำเลยได้มาจากการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนก่อนหน้าคดีที่เสนอสู่ศาลนี้เมื่อปรากฏว่าของกลางดังกล่าวไม่ใช่เครื่องมือ เครื่องใช้ ยานพาหนะ หรือวัตถุอื่นซึ่งได้ใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 102 และไม่ใช่ทรัพย์สินที่กฎหมายบัญญัติไว้ว่าผู้ใดทำหรือมีไว้เป็นความผิดหรือได้มาโดยกระทำความผิด ซึ่งหมายถึงเฉพาะความผิดที่กระทำในคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32,33(2) จึงไม่อาจริบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2543
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 ม. 119
ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามวินัยและมาตรการลงโทษของจำเลย ระบุว่า การฝ่าฝืนระเบียบวินัยและข้อบังคับที่จำเลยถือว่าเป็นกรณีร้ายแรงซึ่งจำเลยมีสิทธิเลิกจ้างได้ทันทีโดยไม่ต้องตักเตือนเป็นหนังสือก่อนนั้นมีอยู่ 5 ข้อ ส่วนการนำสุราหรือเครื่องดองของเมาหรือยาเสพติดให้โทษอันเป็นของต้องห้ามตามกฎหมายทุกชนิด เข้ามาในสถานที่ทำการของจำเลยหรือบริเวณโรงงาน หรือดื่มสุราหรือเครื่องดองของเมาในสถานที่ดังกล่าวหรือในเวลาทำงาน หรือยาเสพติดให้โทษอันเป็นของต้องห้ามตามกฎหมาย หรือเข้าไปในสถานที่ดังกล่าวในสภาพที่มึนเมาหรือปฏิบัติงานในสภาพที่มึนเมานั้นได้ระบุไว้ว่า พนักงานผู้ใดฝ่าฝืนถือว่าเป็นการกระทำผิดระเบียบวินัยและข้อบังคับของจำเลยเท่านั้น หาได้เป็นการกระทำผิดระเบียบวินัยและข้อบังคับเป็นกรณีร้ายแรงไม่ ดังนี้การที่โจทก์ดื่มเบียร์ที่นอกโรงงานในขณะที่เป็นเวลาพักเที่ยงเพียง1 ขวด ไม่มีการมึนเมาขณะไปปฏิบัติงาน กรณีจึงถือไม่ได้ว่าโจทก์กระทำการฝ่าฝืนระเบียบวินัยและข้อบังคับของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรง
เมื่อจำเลยมีระเบียบวินัยและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานระบุไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่ากรณีใดบ้างที่พนักงานกระทำผิดถือว่าเป็นการกระทำผิดระเบียบวินัยและข้อบังคับหรือเป็นการฝ่าฝืนระเบียบวินัยและข้อบังคับเป็นกรณีร้ายแรง จึงต้องถือปฏิบัติไปตามนั้น ส่วนการที่ระเบียบดังกล่าวระบุว่าจำเลยสงวนสิทธิในการพิจารณาเพิ่มโทษหรือลดโทษจากที่กำหนดตามความเหมาะสมหรือความร้ายแรงของการกระทำผิดโดยให้อยู่ในดุลพินิจของจำเลยแต่ฝ่ายเดียวนั้น ต้องถือว่าเป็นกรณีสงวนสิทธิในการพิจารณาเพิ่มโทษหรือลดโทษที่จะลงแก่ผู้ที่กระทำผิดระเบียบวินัยและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยเท่านั้น มิใช่การสงวนสิทธิที่จะพิจารณาว่าการกระทำผิดใดร้ายแรงหรือไม่ร้ายแรงนอกเหนือหรือแตกต่างไปจากที่กำหนดไว้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1950/2543
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 374, 881
โจทก์นำรถยนต์คันที่หายเอาประกันภัยไว้กับจำเลยโดยระบุให้บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก. เป็นผู้รับประโยชน์ เป็นสัญญาเพื่อประโยชน์ของบุคคลภายนอก สิทธิของบุคคลภายนอกจะเกิดขึ้นต่อเมื่อได้แสดงเจตนาแก่ลูกหนี้ว่าจะถือเอาประโยชน์จากสัญญา ตราบใดที่ยังไม่ได้แสดงเจตนาดังกล่าว คู่สัญญาอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือระงับสิทธิตามสัญญานั้นได้ เมื่อบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก. ฟ้องโจทก์ให้ชำระค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ แสดงว่าได้สละเจตนาที่จะถือเอาประโยชน์จากสัญญาแล้ว โจทก์และจำเลยจึงเป็นคู่สัญญามีสิทธิที่จะได้รับประโยชน์จากสัญญาซึ่งกันและกันตามหลักทั่วไป และโจทก์มีสิทธิเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเข้าเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยเองได้ จึงมีอำนาจฟ้อง
โจทก์เช่าสถานที่ของวัดเป็นที่จอดและอู่ซ่อมรถ บริเวณดังกล่าวมีประตูเข้าออกทางเดียว แม้ไม่มีพนักงานรักษาความปลอดภัยแต่ก็มีผู้ดูแลถือว่าโจทก์ใช้ความระมัดระวังในการสงวนทรัพย์สินเช่นวิญญูชนพึงประพฤติตามพฤติการณ์แล้ว รถยนต์คันที่เอาประกันภัยสูญหายไม่ได้เกิดจากความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของโจทก์ และเมื่อทราบเหตุโจทก์ได้โทรศัพท์แจ้งจำเลยและแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจทันที แต่ขาดหลักฐานการมอบอำนาจจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก.ทำให้การแจ้งความเป็นลายลักษณ์อักษรล่าช้า ถือไม่ได้ว่าโจทก์ปฏิบัติผิดเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัย จำเลยจึงยังต้องรับผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1780/2543
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 453, 458, 1336 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. ตาราง 1
สัญญาซื้อขายรถยนต์มีข้อความว่า "หากผู้ซื้อไม่นำเงินมาชำระตามกำหนด ผู้ซื้อยินยอมให้ผู้ขายริบเงินมัดจำและคืนรถทันทีในสภาพเรียบร้อยทุกประการ" เป็นเพียงการกำหนดวิธีการบังคับเมื่อเกิดกรณีผิดสัญญาขึ้นเท่านั้นหาใช่เงื่อนไขการโอนกรรมสิทธิ์ไม่ ถือว่าสัญญาซื้อขายระหว่าง พ. กับ ป. เป็นสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาทย่อมตกเป็นของ ป. ตั้งแต่ขณะที่การซื้อขายสำเร็จแล้ว
โจทก์ได้กรรมสิทธิ์ในรถยนต์พิพาท จำเลยซึ่งไม่ใช่เจ้าของไม่มีสิทธิที่จะยึดถือใบคู่มือจดทะเบียนรถยนต์พิพาทไว้ ต้องโอนทะเบียนและมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถให้แก่โจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบใบคู่มือจดทะเบียนรถพร้อมเอกสารเกี่ยวกับการจดทะเบียนแก่โจทก์ หรือขอให้จำเลยออกเอกสารเกี่ยวกับการขอจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายการชื่อจำเลยเป็นชื่อโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์จำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันไม่จำต้องคืนเอกสารแก่โจทก์ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1779/2543
พระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ.2534 ม. 109, 110
เครื่องหมายการค้าตามที่ปรากฏบนตัวสินค้าของโจทก์และจำเลยทั้งสองมีลักษณะเหมือนหรือคล้ายกัน กล่าวคือ ส่วนกลางมีคำว่า "SUPER GLUE" ในกรอบสี่เหลี่ยม ส่วนล่างเป็นสีดำมีคำบรรยายเป็นตัวหนังสือภาษาอังกฤษสีขาวว่า " for WOOD - RUBBER - PLASTICS - METAL - PAPER & LEATHER Cyanoacrylate Adhesive NET. 3 g " และส่วนบนมีแถบสีดำ แม้คำว่า "SUPER GLUE" และคำบรรยายที่อยู่ในส่วนล่างทั้งหมดเป็นคำสามัญ ซึ่งในการขอจดทะเบียนโจทก์ได้แสดงปฏิเสธสิทธิว่า ไม่ให้สิทธิแก่ผู้ขอจดทะเบียนแต่ผู้เดียวที่จะใช้อักษรคำว่า "SUPER GLUE" และคำบรรยายทั้งหมดก็ตาม แต่รูปลักษณะ ขนาด การจัดวาง ตำแหน่งและทิศทางของตัวอักษร ทั้งหมดดังกล่าว ตลอดจนการให้สีสันของตัวอักษรและสีพื้นเหมือนหรือคล้ายกันจนเกือบจะเป็นเครื่องหมายการค้าเดียวกัน คงแตกต่างกันแต่คำว่า "ALTECO" กับ "GIANT" ในแถบสีดำส่วนบน ซึ่งแม้จำเลยทั้งสองจะมีสิทธิใช้คำว่า "GIANT" เพราะเป็นคำสามัญก็ตาม แต่เนื่องจากตัวอักษรมีขนาดเล็ก จำนวนตัวอักษรก็ใกล้เคียงกันคือคำว่า "ALTECO" ประกอบด้วยตัวอักษร 6 ตัว ส่วนคำว่า "GIANT" ประกอบด้วยตัวอักษร 5 ตัว ต่างกันเพียง 1 ตัว และสีของตัวอักษรเป็นสีขาวจัดวางอยู่ในแถบสีดำส่วนบนทำนองเดียวกัน บุคคลธรรมดาทั่ว ๆ ไป ซึ่งไม่คุ้นเคยกับภาษาต่างประเทศอาจหลงเข้าใจผิดไปได้ว่าเป็นเครื่องหมายการค้าเดียวกัน ส่อแสดงว่าเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้าของจำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะทำให้เหมือนเครื่องหมายการค้าของโจทก์ ประกอบกับหลอดกาวมีขนาด รูปร่าง และอยู่ในแผงบรรจุภัณฑ์ลักษณะเช่นเดียวกัน ทั้งยังถูกใช้กับสินค้าประเภทเดียวกับสินค้าของโจทก์ ดังนั้นย่อมถือได้ว่าเครื่องหมายการค้าที่ใช้กับสินค้าของจำเลยทั้งสองเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพื่อให้ประชาชนหลงเชื่อว่าเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1677/2543
พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 ม. 11, 73 วรรคหนึ่ง, 74 จัตวา พระราชบัญญัติป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ.2507 ม. 14, 31 วรรคหนึ่ง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 195
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยฐานทำไม้ในเขตป่าสงวนแห่งชาติตาม พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติฯ ลงโทษจำเลยฐาน มีไม้แปรรูปไว้ในครอบครองตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐาน มีไม้แปรรูปไว้ในครอบครอง กรณีจึงไม่มีความผิดที่จำเลยต้องรับโทษตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ ที่จะสั่งให้จ่ายเงินสินบน นำจับตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ ได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โดยมิได้แก้ไขคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้จ่ายเงินสินบนนำจับตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ฯ จึงเป็นการมิชอบ ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1676/2543
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ม. 193/3, 193/5, 193/8 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 198
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/8 บัญญัติว่า"ถ้าวันสุดท้ายของระยะเวลาเป็นวันหยุดทำการตามประกาศเป็นทางการหรือตามประเพณี ให้นับวันที่เริ่มทำการใหม่ต่อจากวันหยุดทำการนั้นเป็นวันสุดท้ายของระยะเวลา" หมายถึงว่า หากไม่มีการอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไป วันสุดท้ายของระยะเวลาอุทธรณ์ตรงกับวันหยุดราชการจำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์ในวันอันเป็นวันแรกของการเปิดทำการปรกติได้เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก 10 วันนับแต่วันที่ครบกำหนด วันที่ครบกำหนดดังกล่าวจึงมิใช่วันสุดท้ายของระยะเวลาอุทธรณ์อีกต่อไป จึงนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/8มาปรับใช้มิได้
ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาให้โจทก์และจำเลยฟังเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม2541 จำเลยจะต้องอุทธรณ์ภายในวันที่ 30 มกราคม 2542 แต่ทนายจำเลยยื่นคำร้องในวันที่ 28 มกราคม 2542 ขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไปอีก 10 วันนับแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2542 ศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ออกไป 10 วัน นับแต่วันครบกำหนด จึงครบกำหนด 10 วัน ในวันที่ 9 กุมภาพันธ์2542 ซึ่งเป็นวันทำการปรกติ จำเลยมิได้ยื่นอุทธรณ์ในวันดังกล่าว โดยยื่นอุทธรณ์วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2542 พ้นกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์แล้วถึง 2 วัน ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ จำเลยจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1231/2543
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ม. 195, 218
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยฐานยักยอกตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคแรก,91 รวม 106 กระทง จำคุกกระทงละ 1 เดือน รวมจำคุก 106 เดือน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุกกระทงละ 20 วัน เป็นการแก้ไขเล็กน้อย และโทษจำคุกไม่เกินห้าปี คดีต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า ศาลควรจะยกฟ้องโจทก์ทั้ง 159 กรรม มิใช่เพียง59 กรรม ด้วยเหตุผล 6 ประการ ตามฎีกาของจำเลยซึ่งล้วนแต่เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐาน เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง และที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยกระทำความผิดต่างกรรมต่างวาระกันหรือไม่ โดยจำเลยอ้างว่าศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังพยานหลักฐานที่ไม่มีเอกสารเป็นการไม่ชอบ ก็เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมา เพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นอ้าง จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามบทกฎหมายดังกล่าว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2543
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 199 จัตวา, 199 เบญจ, 207, 207 เดิม, 208 เดิม, 209 เดิม
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่หลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว การพิจารณาคำขอดังกล่าวจึงต้องพิจารณาเป็นลำดับ คือ ศาลต้องพิจารณาคำขอนั้นก่อนว่าถูกต้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207และ 208 หรือไม่ แล้วพิจารณาต่อไปว่ามีเหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนั้นมาศาลไม่ได้หรือไม่ ตามมาตรา 209 วรรคหนึ่ง การที่คู่ความจงใจขาดนัดก็เป็นกรณีไม่มีเหตุสมควรเชื่อว่าคู่ความฝ่ายที่ขาดนัดนั้นมาศาลไม่ได้นั่นเองเมื่อศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วเห็นว่า โจทก์พลั้งเผลอเป็นเหตุให้หลงลืมวันนัดและไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรก ไม่ใช่เหตุอันสมควรที่โจทก์จะมาศาลไม่ได้และยกคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ จึงเท่ากับศาลชั้นต้นวินิจฉัยแล้วว่าการขาดนัดพิจารณาของโจทก์เป็นไปโดยจงใจ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 819/2543
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม พุทธศักราช 2475 ม. 118 (3) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ม. 131 พระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2522 ม. 19 (2), 26, 78, 79 (1)
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้คัดค้านที่ 2ใช้วุฒิการศึกษาปลอมเข้าศึกษาต่อในชั้นปริญญาตรี จึงไม่มีสิทธิตามวุฒิการศึกษาชั้นปริญญาตรี ขอให้ศาลมีคำสั่งว่า การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครนายกของผู้คัดค้านที่ 2 เป็นการกระทำผิดตามมาตรา 26 แห่งพระราชบัญญัติการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2522 และให้มีการเลือกตั้งใหม่เฉพาะส่วนที่ผู้คัดค้านที่ 2 ได้รับเลือกตั้งในระหว่างการพิจารณาของศาล ผู้คัดค้านที่ 2 ได้ลาออกจากตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผลจากการลาออกของผู้คัดค้านที่ 2 ทำให้สมาชิกภาพของผู้คัดค้านที่ 2 สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มาตรา 118(3)นับตั้งแต่วันลาออก ดังนี้ จึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยปัญหาข้อพิพาทเกี่ยวกับสมาชิกภาพของผู้คัดค้านที่ 2 ตามคำร้องของผู้ร้องอีกต่อไป จึงให้จำหน่ายคดีจากสารบบความ