
โดนหมายเรียกคดีอาญาไปพบพนักงานสอบสวน: เตรียมตัวยังไง–สิทธิอะไรบ้าง
ไม่ต้องตกใจ หมายเรียกไม่ได้มีอะไรน่ากลัวขนาดนั้น แค่เป็นการเรียกให้ไปพบพนักงานสอบสวน หรือเป็นหมายเรียกพยานให้ไปเป็นพยาน ไม่ได้มีการเรียกไปเพื่อที่จะจับกุมหรือควบคุมตัวเข้าห้องขังแต่อย่างใด

ได้รับหมายเรียกแล้วต้องตรวจอะไรเป็นอย่างแรก
บางท่านอาจตกใจเมื่อได้รับหมายเรียกจากพนักงานสอบสวน แต่สิ่งแรกที่จะต้องตรวจสอบก่อนก็คือว่าหมายเรียกที่ได้รับนั้นเป็นหมายจริงหรือไม่ เพราะในปัจจุบันมีมิจฉาชีพทำหมายขึ้นมาปลอมเพื่อที่จะหลอกลวง ให้หลงเชื่อได้ ทางแก้คือต้องโทรไปสอบถามยังสถานีตำรวจเพื่อตรวจสอบว่าได้รับหมายเรียกจากทางพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนั้นจริงหรือไม่
และอีกประการคือต้องตรวจสอบดูก่อนว่าเป็นหมายเรียกประเภทใด เพราะหมายเรียกมีได้หลายประเภท เช่น
- หมายเรียกจากศาลก็จะเป็นหมายเรียกพยานให้ไปเป็นพยานในชั้นศาล
- หมายเรียกจากพนักงานสอบสวนที่ออกโดยพนักงานสอบสวนก็จะเป็นหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา
- หมายเรียกไปให้การในชั้นสอบสวน
อ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง "หมายเรียก"
- ได้รับหมายเรียก ควรอ่านบทความนี้ให้จบ
- ทำอย่างไรเมื่อถูกตำรวจ ออกหมายเรียก ?
- ออกหมายเรียกใช้เวลากี่วัน? รอนานไหม หรือโดนถึงหน้าบ้าน!
ถ้าเป็นหมายจริง ต้องไปตามหมายเรียก (ไม่ไปอาจถูกออกหมายจับได้)
แล้วหากเป็นหมายจริงก็จะต้องดำเนินการไปตามหมายเรียกที่ทางพนักงานสอบสวนเรียกไป ตามหมายเรียกก็จะถือว่าอาจถูกออกหมายจับได้ เช่น ในครั้งแรกมีหมายเรียกมาหาท่านแล้วแต่ก็ยังไม่ไปตามหมายเรียก และมีการส่งหมายเรียกมาครั้งที่สองก็ยังไม่ไปอีก อย่างนี้พนักงานสอบสวนสามารถที่จะใช้ดุลพินิจในการออกหมายจับเพื่อที่จะจับท่านให้ไปพบ
เหตุที่พนักงานสอบสวนจะออกหมายจับได้ (ป.วิ.อ. มาตรา 66–68)
เหตุที่พนักงานสอบสวนจะออกหมายจับได้นั้นจะมีบัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 66
มาตรา 66 เหตุที่จะออกหมายจับได้มีดังต่อไปนี้
(1) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาซึ่งมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปี หรือ
(2) เมื่อมีหลักฐานตามสมควรว่าบุคคลใดน่าจะได้กระทำความผิดอาญาและมีเหตุอันควรเชื่อว่าจะหลบหนี หรือจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน หรือก่อเหตุอันตรายประการอื่น
ถ้าบุคคลนั้นไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง หรือไม่มาตามหมายเรียกหรือตามนัดโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควร ให้สันนิษฐานว่าบุคคลนั้นจะหลบหนี
มาตรา 67 จะออกหมายจับบุคคลที่ยังไม่รู้จักชื่อก็ได้แต่ต้องบอกรูปพรรณของผู้นั้นให้ละเอียดเท่าที่จะทำได้
มาตรา 68 หมายจับคงใช้ได้อยู่จนกว่าจะจับได้ เว้นแต่ความผิดอาญาตามหมายนั้นขาดอายุความหรือศาลซึ่งออกหมายนั้นได้ถอนหมายคืน
💬 อ่านคำปรึกษากฎหมายและคำตอบจากทนาย (Q&A)
- Q : ถ้าเราไปตามหมายเรียก คดี ฉ้อโกง
- Q : โดนหมายเรียกผู้ต้องหา
- Q : โดนหมายเรียก ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ไม่อยากให้เรื่องไปถึงศาลทำยังไงได้บ้างครับ

ถ้าไปตามหมายไม่ได้ ทำอย่างไร
แล้วเมื่อท่านได้รับหมายแล้วต้องดำเนินการอย่างไรต่อ อันดับแรกก็ต้องดำเนินการตามหมายเรียกที่ระบุรายละเอียดในนั้น และในหมายเรียกก็จะระบุวันที่เรียกให้ไปพบพนักงานสอบสวน หากท่านไม่สะดวกหรือไม่สามารถไปได้ในวันนั้นก็สามารถที่จะโทรติดต่อไปยังพนักงานสอบสวนหรือสถานีตำรวจนั้นเพื่อที่จะแจ้งให้พนักงานสอบสวนทราบเพื่อที่จะเลื่อนได้ แต่ถ้าหากไม่ติดต่อไปเลยก็จะไม่เป็นผลดีต่อตัวท่าน
คำพิพากษาฎีกา 1341/2509
คำพิพากษาฎีกา 1341/2509 ฎีกานี้ผู้ต้องหาไม่ยอมรับหมายหรือขัดขืนหมาย ผลคือ พนักงานสอบสวนออกหมายจับได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่เห็นว่า เมื่อนายโทไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนกล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกที่ดิน ย่อมเห็นได้ชัดว่าจำเลยได้ตกอยู่ในฐานะเป็นผู้ต้องหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(2) แล้ว ซึ่งในชั้นสอบสวนประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 บัญญัติว่า ผู้ต้องหาเต็มใจให้การอย่างใดหรือจะไม่เต็มใจให้การเลยก็ได้ แสดงชัดว่าพนักงานสอบสวนจะบังคับให้ผู้ต้องหาให้ถ้อยคำใด ๆ ไม่ได้ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 135 ก็บัญญัติห้ามมิให้พนักงานสอบสวนล่อลวงหรือขู่เข็ญผู้ต้องหาให้ให้การอีกด้วย เห็นได้ว่าหมายเรียกของพนักงานสอบสวนที่ให้ผู้ต้องหามาเพื่อให้การนั้นไม่เข้าลักษณะเป็นคำบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 168 ส่วนกรณีที่ผู้ต้องหาขัดขืนไม่มาให้การตามหมายเรียกโดยไม่มีข้อแก้ตัวอันควร ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ อาญา มาตรา 66(3) ก็บัญญัติทางแก้ไว้ คือ ให้พนักงานสอบสวนมีอำนาจออกหมายจับตัวมาได้ อันเป็นการลงโทษผู้ต้องหาที่ขัดขืนหมายเรียกอยู่แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า เจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 168 หาได้มุ่งหมายจะใช้บังคับกับผู้ต้องหาที่ขัดขืนไม่มาให้การต่อพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกดังโจทก์อ้างไม่ การกระทำของจำเลยยังไม่เป็นความผิดตามฟ้อง
วันที่ไปพบพนักงานสอบสวน เตรียมตัวยังไง
และในวันที่ท่านไปพบกับพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกนั้นท่านอาจพาทนายความส่วนตัวหรือให้ญาติคนสนิทที่สามารถไว้ใจได้ไปด้วยก็ได้
ส่วนใหญ่การมีหมายเรียกจากพนักงานสอบสวนจะเรียกไปเมื่อมีคนร้องทุกข์หรือกล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน ว่าเรากระทำความผิดอาญา โดยจะเรียกไปเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาหรือสอบสวนว่าเรากระทำความผิดจริงหรือไม่
หลังจากที่เราถูกแจ้งข้อกล่าวหาและแจ้งสิทธิแล้ว เมื่อนั้นเราถือว่าเป็นผู้ต้องหาแล้ว เราต้องทำอย่างไรบ้าง
📢 หากคุณต้องการ ปรึกษาทนายเรื่องหมายเรียกหรือได้รับหมายเรียก หรือต้องการปรึกษาปัญหากฎหมายอื่นๆ ติดต่อทนายผู้เชี่ยวชาญ กว่า 800 คนทั่วประเทศผ่านเว็บไซต์ได้เลย
ผู้ต้องหาคืออะไร
ผู้ต้องหา หมายถึง บุคคลผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิด แต่ยังไม่ได้ถูกฟ้องต่อศาล (ป.วิ.อ.มาตรา 2 (2)) ซึ่งผู้ต้องหาเป็นเพียงผู้ต้องสงสัยว่าได้กระทำความผิดเท่านั้น แต่การที่เขาจะกระทำความผิดจริงหรือไม่นั้น ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่างๆ โดยศาล ทั้งนี้ ผู้ต้องหา ได้รับรองสิทธิขั้นพื้นฐานต่าง ๆ ไว้ ตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทยไว้ ตามหัวข้อถัดไป

สิทธิของผู้ต้องหาหรือผู้ถูกจับกุม มีอะไรบ้าง
สิทธิที่ผู้ต้องหาต้องรู้ ซึ่งผมจะขอยกเฉพาะในส่วนที่สำคัญ ๆ
- สิทธิที่จะให้การหรือไม่ก็ได้ในชั้นสอบสวน ถ้าผู้ต้องหาให้การ ถ้อยคำที่ผู้ต้องหาให้การนั้นอาจใช้เป็นพยานหลักฐานในการพิจารณาคดีได้ (ป.วิ.อ.ม.134/4 (1) กล่าวคือ เมื่อพนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเรา ๆ มีสิทธิที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้ และตำรวจไม่มีสิทธิบังคับเราได้ เช่น ตำรวจจะบังคับให้เราสารภาพไม่ได้
- สิทธิที่จะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐด้วยการจัดหาทนายความให้ (รัฐธรรมนูญฯ ม.40 (7) และ ป.วิ.อ. ม.134/1
- สิทธิพบและปรึกษาผู้ซึ่งจะเป็นทนายความเป็นการเฉพาะตัว (ป.วิ.อ.ม.7/1 (1)
- สิทธิให้ทนายความ หรือผู้ซึ่งตนไว้วางใจ เข้าฟังการสอบปากคำตนได้ในชั้นสอบสวน (ป.วิ.อ.ม.7/1 (2)
- สิทธิได้รับการเยี่ยมหรือติดต่อกับญาติได้ตามสมควร (ป.วิ.อ.ม.7/1(3)
- สิทธิเมื่อถูกจับหรือผู้ต้องหาซึ่งถูกควบคุมหรือขังมีสิทธิแจ้งหรือขอให้เจ้าพนักงานแจ้งให้ญาติหรือผู้ซึ่งผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหาไว้วางใจทราบถึงการถูกจับกุมและสถานที่ที่ถูกควบคุมในโอกาสแรก (ป.วิ.อ.ม.7/1 วรรคแรก)
และอื่น ๆ เช่น สิทธิในการได้รับการประกันตัว ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด สิทธิในการได้รับการรักษาพยาบาลเมื่อเจ็บป่วย สิทธิที่จะได้รับโอกาสแก้ข้อหาและที่จะแสดงข้อเท็จจริงอันเป็นประโยชน์แก่ตนได้ในชั้นสอบสวน (ป.วิ.อ.ม.134 วรรคสี่)
อ่านบทความเพิ่มเติมเรื่อง "สิทธิของผู้ต้องหา"
- การขอประกันตัวผู้ต้องหาหรือจำเลย
- เคยสงสัยไหม ? จับกุม(ผู้ต้องหา) แล้วไปไหน? ยังไงต่อ?
- สิทธิของผู้ต้องหา
- โดนจับ! สิทธิของผู้ต้องหามีอะไรบ้าง?
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับการแจ้งสิทธิผู้ต้องหา
ตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 2107/2561 เกี่ยวกับการที่พนักงานสอบสวนได้แจ้งสิทธิผู้ต้องหาแล้ว ถือว่าเป็นการสอบสวนโดยชอบ
ป.วิ.อ. มาตรา 134/1 วรรคสอง บัญญัติว่า "ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก ก่อนเริ่มถามคำให้การให้พนักงานสอบสวนถามผู้ต้องหาว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและผู้ต้องหาต้องการทนายความ ให้รัฐจัดหาทนายความให้" ปรากฏตามบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของผู้ต้องหาว่า พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาและแจ้งสิทธิของผู้ต้องหาให้จำเลยทราบ และสอบถามเรื่องทนายความหรือผู้ที่ไว้วางใจเข้ารับฟังการสอบสวนแล้ว จำเลยให้การว่าไม่มีและไม่ต้องการทนายความหรือผู้ที่ไว้วางใจเข้ารับฟังการสอบสวน การที่พนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนจำเลยโดยไม่ได้จัดหาทนายความให้ตามคำให้การดังกล่าว จึงเป็นการสอบสวนที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ส่วนมาตรา 134/4 วรรคท้าย บัญญัติไว้เพียงว่า ถ้อยคำใด ๆ ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา 134/1 จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้ ฉะนั้น แม้พนักงานสอบสวนจะจัดหาหรือไม่จัดหาทนายความให้จำเลยก็ไม่ทำให้การสอบสวนไม่ชอบ เมื่อมีการสอบสวนแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ 1952/2561
คำพิพากษาฎีกาที่ 1952/2561 แม้จำเลยจะไม่มีทนายความหรือบุคคลที่ไว้วางใจของจำเลยเข้าร่วมในการสอบสวน แต่ตามบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยระบุว่าก่อนสอบปากคำ พนักงานสอบสวนถามจำเลยว่าต้องการพบทนายความหรือบุคคลที่ไว้วางใจเข้าร่วมฟังการสอบสวนหรือไม่ อย่างไร จำเลยตอบว่าไม่ต้องการ ดังนี้ แสดงว่าพนักงานสอบสวนได้แจ้งสิทธิดังกล่าวให้จำเลยทราบแล้ว แต่จำเลยสละสิทธิในการมีทนายความ เมื่อคดีมีเพียงอัตราโทษจำคุกไม่ใช่มีอัตราโทษประหารชีวิต กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะต้องจัดหาทนายความหรือบุคคลที่ไว้วางใจเข้าร่วมฟังการสอบสวนให้แก่จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 134/1 วรรคสอง
ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3119/2550 (ไม่ได้แจ้งสิทธิผู้ต้องหา: ผลคือไม่ทำให้การสอบสวนไม่ชอบ เพียงแต่จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้เท่านั้น)
แม้ ป.วิ.อ. มาตรา 7/1 (2) จะบัญญัติให้ผู้ถูกจับหรือผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ที่ตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบสวนปากคำตนได้ในชั้นสอบสวนและมาตรา 134/3 บัญญัติว่าผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ที่ตนไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ และมาตรา 134/4 (2) บัญญัติในเรื่องการถามคำให้การผู้ต้องหานั้นให้พนักงานสอบสวนแจ้งให้ผู้ต้องหาทราบก่อนว่าผู้ต้องหามีสิทธิให้ทนายความหรือผู้ที่ไว้วางใจเข้าฟังการสอบปากคำตนได้ก็ตาม แต่ในบทบัญญัติของมาตรา 134/4 วรรคท้าย ก็บัญญัติไว้แต่เพียงว่า ถ้อยคำใดๆ ที่ผู้ต้องหาให้ไว้ต่อพนักงานสอบสวนก่อนมีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่ง หรือก่อนที่จะดำเนินการตามมาตรา 134/3 จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้นั้นไม่ได้เท่านั้น ดังนั้น แม้พนักงานสอบสวนจะไม่ได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นก็หาทำให้การสอบสวนคดีไม่ชอบแต่อย่างใดไม่
🔎หาคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ผ่านทางระบบ ค้นหาฎีกา ของ Legardy

บทสรุปปิดท้าย
โดยสรุป เมื่อได้รับหมายเรียกคดีอาญา สิ่งสำคัญคืออย่าตกใจ ให้ตรวจสอบก่อนว่าเป็นหมายจริงและเป็นหมายประเภทใด จากนั้นปฏิบัติตามวันนัดในหมายเรียกหรือโทรแจ้งเพื่อขอเลื่อนหากมีเหตุจำเป็น เพราะการเพิกเฉยไม่ไปตามหมายเรียกอาจนำไปสู่การถูกออกหมายจับได้ ในวันที่ไปพบพนักงานสอบสวนสามารถพาทนายความหรือบุคคลที่ไว้ใจไปด้วย และต้องรู้สิทธิพื้นฐานของผู้ต้องหา เช่น สิทธิให้การหรือไม่ให้การ สิทธิพบทนายความและให้ทนายเข้าฟังการสอบสวน รวมถึงสิทธิอื่น ๆ ที่กฎหมายรับรองไว้ การเตรียมตัวให้ถูกต้องและใช้สิทธิอย่างเหมาะสมจะช่วยลดความเสี่ยงและทำให้กระบวนการเป็นธรรมกับตัวเรามากที่สุด
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์สำหรับผู้อ่าน หากท่านต้องการคำปรึกษาเฉพาะกรณีสามารถเข้าไป ตั้งคำถามผ่านช่องทาง Free Q&A หรือรวบรวมข้อเท็จจริงเข้าปรึกษากับทนายความ ก็จะได้คำตอบที่ชัดเจนมากขึ้นครับ
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ








