ทำความผิดครั้งเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท (หลายกระทง)_ ศาลรวมโทษยังไง.png
เผยแพร่เมื่อ: 2025-12-16

ทำความผิดครั้งเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท (หลายกระทง): ศาลรวมโทษยังไง? 

ทำความผิดครั้งเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท (หลายกระทง)_ ศาลรวมโทษยังไง.png

ในคดีอาญา คน 1 คนอาจถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดมากกว่า 1 ความผิด หรือมากกว่า 1 การกระทำ การคำนวณ “รวมโทษ” จึงสำคัญ เพราะเกี่ยวข้องกับความยุติธรรมและการลงโทษให้เหมาะสมกับพฤติการณ์ มิฉะนั้นอาจเกิดภาพการลงโทษที่ดูประหลาด เช่น จำคุกพันปี ซึ่งยาวนานเกินอายุขัยของมนุษย์

หลายกรรม หลายกระทง คืออะไร?

คำว่า “หลายกรรม” พบในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ซึ่งหมายถึง “การกระทำหลายการกระทำ” เช่น ลักทรัพย์ตอนเช้าที่หนึ่ง แล้วตอนบ่ายอีกที่หนึ่ง เท่ากับลักทรัพย์ 2 ครั้ง (2 กรรม) แต่สามารถถูกฟ้องรวมในคดีเดียวและให้ศาลรวมโทษได้

ส่วนคำว่า “หลายกระทง” เป็นคำที่ใช้ในทางคดี โดยถือว่าความผิด “แต่ละฐาน เป็น 1 กระทง" ดังนั้นหลายกระทงคือหลาย ๆ ความผิด ซึ่งอาจเกิดจากการกระทำครั้งเดียวก็ได้ เช่น ลักทรัพย์เวลากลางคืนในเคหสถาน อาจเข้าทั้งฐานลักทรัพย์และฐานบุกรุกเคหสถาน (รวมเป็น 2 กระทง)

⭐️ ปรึกษาทนายเบื้องต้นฟรี ง่ายๆผ่านทาง Free Q&A โดยไม่จำเป็นต้องระบุตัวตน


ถ้ากระทำความผิด 1 กรรม แต่ผิดกฎหมายหลายเรื่อง จะลงโทษยังไง?

ทำความผิดครั้งเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท (หลายกระทง)_ ศาลรวมโทษยังไง (2).png

กรณีการกระทำครั้งเดียว แต่เข้าองค์ประกอบความผิดหลายบท ให้ใช้หลัก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 คือ “ใช้บทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษ”

บัญญัติว่า เมื่อการกระทำใดอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่ผู้กระทำความผิด

หมายความว่าสำหรับการกระทำความผิด 1 ครั้ง แม้ผิดกฎหมายหลายเรื่อง แต่ศาลจะเอาเรื่องที่รุนแรงที่สุดมาลงโทษ 

ตัวอย่างเช่น ลักทรัพย์เวลากลางคืนในเคหสถาน หากเทียบโทษฐานบุกรุกเคหสถาน มาตรา 364 (จำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ) กับฐานลักทรัพย์ มาตรา 335 (จำคุกตั้งแต่ 1–5 ปี และปรับ 20,000–100,000 บาท และหากครบเหตุฉกรรจ์ตั้งแต่ 2 อนุมาตราขึ้นไป ตาม มาตรา 335 วรรค 2 โทษจะกลายเป็นจำคุก 1–7 ปี ปรับ 20,000–140,000 บาท) 

ซึ่งจะเห็นได้ว่าอย่างหลังโทษหนักกว่า กรณีแบบนี้ ศาลก็จะเอาอัตราโทษของที่รุนแรงที่สุดคือ ของความผิดส่วนลักทรัพย์มาใช้ลงโทษ

📖 อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง:

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5843/2552

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า... พฤติการณ์แห่งคดีเห็นได้ว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดดังกล่าวในคราวเดียวกัน ด้วยมีเจตนาที่จะปลอมเอกสารดังกล่าวต่อเนื่องกันเพื่อให้เอกสารบริบูรณ์เท่านั้น หาได้มีเจตนาหลายเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกรรมกันแต่อย่างใดไม่ แม้จะมีการใช้ดวงตราปลอมในเอกสาร 2 ฉบับ ก็ตาม ก็ไม่เป็นความผิดฐานใช้ดวงตราปลอม 2 กรรม การกระทำของจำเลยที่ 3 จึงเป็นความผิดกรรมเดียวกัน ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

สรุปสาระสำคัญของฎีกานี้คือ 

จำเลยทำผิดฐานปลอมเอกสารหลายฉบับ โจทก์ต้องการฟ้องว่าการปลอมเอกสารแต่ละฉบับเป็นการกระทำคนละกรรม แยกส่วนกัน ซึ่งจะมีผลให้มีการรวมโทษของแต่ละกรรม โทษจะรุนแรงกว่า 

แต่ศาลมองว่า การกระทำของจำเลย คือการปลอมเอกสาร 1 ครั้ง แต่หลายฉบับเพราะความต่อเนื่องของการกระทำความผิด การปลอมเอกสารแต่ละฉบับไม่ได้ทำห่างกัน แต่ทำต่อเนื่องกัน ศาลจึงตัดสินว่าจำเลยทำผิดลักษณะที่ว่าเป็นการกระทำแค่กรรมเดียว

ดังนั้น การพิจารณาว่าการกระทำอะไรเป็น กรรมเดียว หรือ หลายกรรม ต้องพิจารณาจากความต่อเนื่องของการกระทำด้วย หากการกระทำมันต่อเนื่องกัน ศาลมักมองว่ากรรมเดียวกัน 

🔎หาคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม ผ่านทางระบบ ค้นหาฎีกา ของ Legardy


กรณีกระทำผิดหลายกรรม ศาลรวมโทษยังไง?

ทำความผิดครั้งเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท (หลายกระทง)_ ศาลรวมโทษยังไง (3).png

สำหรับการกระทำความผิดหลายกรรม ที่มีการฟ้องรวมกัน ในการรวมโทษนั้น มีหลักเกณฑ์ตาม ป.อ. มาตรา 91 ซึ่งบัญญัติว่า 

“เมื่อปรากฏว่าผู้ใดได้กระทำการอันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ศาลลงโทษผู้นั้นทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป แต่ไม่ว่าจะมีการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วนโทษด้วยหรือไม่ก็ตาม เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกำหนดดังต่อไปนี้
    (1) 10 ปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินสามปี
    (2) 20 ปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสามปีแต่ไม่เกินสิบปี
    (3) 50 ปี สำหรับกรณีความผิดกระทงที่หนักที่สุดมีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงเกินสิบปีขึ้นไป เว้นแต่กรณีที่ศาลลงโทษจำคุกตลอดชีวิต”

หมายความว่า การจะรวมโทษในการกระทำความผิดหลายกรรม โทษสูงสุดที่ศาลจะลงโทษต้องเป็นการจำคุกที่มีจำนวนเวลา ไม่ใช่จำคุกตลอดชีวิตหรือประหาร เพราะ 2 โทษนี้มีความรุนแรงกว่าและไม่มีจำนวนตัวเลขในการจะรวม 

อ่านเพิ่มเติม: ทำผิดซ้ำๆระวังโทษหนักขึ้น !

 

หลักเกณฑ์พิจารณาจากความผิดที่รุนแรงที่สุดในการรวมโทษ

ทำความผิดครั้งเดียว แต่ผิดกฎหมายหลายบท (หลายกระทง)_ ศาลรวมโทษยังไง (4).png ซึ่งเมื่อรวมการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วนโทษแล้วต้องไม่เกินตามแต่ละกรณี ดังนี้

1. เพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วนโทษแล้ว จำคุกสูงสุด 10 ปี ถ้าความผิดที่รุนแรงที่สุด มีโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 3 ปี 

  • เช่น ลักทรัพย์ในร้านสะดวกซื้อ 5 ครั้ง ใน 5 วัน ซึ่งทำช่วงเช้า หรือบ่ายทุกรอบ แบบนื้ถือเป็น 5 กรรม และโทษอย่างสูงของลักทรัพย์ปกติคือจำคุกไม่เกิน 3 ปี กรณีนี้เมื่อศาลตัดสินแล้ว ศาลจะเพิ่มโทษแล้วรวมโทษยังไง ก็ต้องลงโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี

2. เพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วนโทษแล้ว จำคุกสูงสุด 20  ปี ถ้าความผิดที่รุนแรงที่สุด มีโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 3 ปี แต่ไม่เกิน 10 ปี 

  • เช่น ลักทรัพย์ในร้านสะดวกซื้อ 5 ครั้ง ใน 5 วัน แต่มีบางครั้งทำตอนกลางคืน ซึ่งครั้งที่ลักทรัพย์ตอนกลางคืน เป็นการลักทรัพย์มีเหตุฉกรรจ์ ตามมาตรา 335 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 1 ปีถึง 5 ปี กรณีนี้เมื่อศาลตัดสินแล้ว ศาลจะเพิ่มโทษแล้วรวมโทษยังไงก็ตาม จะสามารถลงโทษได้จำคุกไม่เกิน 20 ปี

3. เพิ่มโทษ ลดโทษ หรือลดมาตราส่วนโทษแล้ว จำคุกสูงสุด 50  ปี ถ้าความผิดที่รุนแรงที่สุด มีโทษจำคุกอย่างสูงเกิน 10 ปี และศาลไม่ได้จะลงโทษถึงจำคุกตลอดชีวิต 

  • เช่น นาย ก ทำความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเรา ซึ่งมีอัตราโทษจำคุก 4 ปี ถึง 20 ปี แล้วระหว่างหลบหนีหลังเสร็จกิจ ได้ทำร้ายร่างกายนาย ข ที่เดินขวางทางจนได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่รุนแรง ซึ่งก็มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี กรณีนี้ เมื่อศาลตัดสิน และจะมีการเพิ่มโทษ แล้วมารวมโทษ ก็จะลงโทษจำคุกนาย ก ได้ไม่เกิน 50 ปี

อ่านเพิ่มเติม: ข้อหาหลายกระทง การรวมโทษ–โทษสูงสุด–โทษต่ำสุด

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2567

…เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันและทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำชำเราผู้ตายในคราวเดียวกันกับที่จำเลยทำร้ายผู้ตาย โดยพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมหลังจากที่มีการตรวจพิสูจน์ศพผู้ตายแล้ว การทำร้ายทางเพศเกิดขึ้นเป็นประจำไม่ใช่คราวใดคราวหนึ่งโดยเฉพาะ ทั้งเจตนาของจำเลยที่ใช้มือตีไปที่ศีรษะและบริเวณหลังคือเจตนาทำร้ายผู้ตายที่เป็นเด็กด้วยความโมโห และเจตนากระทำความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งสามารถแยกออกจากเจตนาของจำเลยที่กระทำความผิดข้อหากระทำชำเราได้ การกระทำของจำเลยจึงเห็นได้ชัดว่า จำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อผลในการกระทำทั้งสองข้อหาแตกต่างกัน จึงเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน

สรุปสาระสำคัญของฎีกานี้คือ 

จำเลยได้ข่มขืนกระทำชำเราผู้ตายซึ่งเป็นคนในครอบครัว และปรากฎว่ามีการทำร้ายร่างกายด้วย แต่จากการพิสูจน์ของโจทก์พิสูจน์ได้ว่า จำเลยทำร้ายผู้ตายจากความโมโห ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการข่มขืน แม้ในกรณีที่เป็นเรื่องที่ฟ้อง การกระทำทั้งสองจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาต่อเนื่องกัน ศาลก็ตัดสินว่าการกระทำทั้งสองเป็นการกระทำคนละกรรม เอามารวมโทษกันได้

จะเห็นได้ว่า การที่จะดูว่าการกระทำความผิด 2 เรื่อง เป็นกรรมเดียวกันหรือไม่ จะพิจารณาแค่ความต่อเนื่องของการกระทำไม่ได้ ต้องดูเจตนาด้วยว่ามันเกี่ยวข้องต่อเนื่องกันมั้ย

💬 อ่านคำปรึกษากฎหมายและคำตอบจากทนาย (Q&A) 


สรุปส่งท้าย

การรวมโทษต้องเริ่มจากการวินิจฉัยให้ได้ก่อนว่าเป็น “กรรมเดียวแต่ผิดหลายบท” (ใช้บทหนักตามมาตรา 90) หรือเป็น “หลายกรรมต่างกัน” (ลงโทษทุกกรรมและรวมโทษภายใต้เพดานมาตรา 91) โดยศาลมักดูทั้ง “ความต่อเนื่องของการกระทำ” และ “เจตนา” ควบคู่กัน เพื่อให้การโทษเป็นธรรมและได้สัดส่วนกับความผิดในแต่ละคดี

📢 หากคุณ ต้องการคำปรึกษาเกี่ยวกับโทษที่ศาลอาจจะลงในการทำความผิด หรือต้องการปรึกษาปัญหากฎหมายอื่นๆ เลือกปรึกษาทนาย กว่า 700 คนทั่วประเทศผ่านเว็บไซต์ได้เลย 

ปรึกษาทนายตัวจริง

สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย

"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว

ทนายพร้อมให้คำปรึกษาตลอด 24 ชม.
4.8/5
รีวิวจากผู้ใช้งานจริงมากกว่า 16000 รีวิว
sanook ข่าวสด มติชน spring
cta
ปรึกษาทนาย 24 ชั่วโมง
“ ได้รับคำตอบทันที ! “