
ปัจจุบัน ณ ปี2568 การสมรสในประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เนื่องจากคู่สมรสเพศเดียวกันสามารถจดทะเบียนสมรสกันได้ และเมื่อมีความรักเกิดขึ้นการสร้างครอบครัวก็เป็นสิ่งสำคัญที่ตามมา บทความนี้จะพาผู้อ่านทุกท่านรู้จักเกี่ยวกับขั้นตอนการรับบุตรบุญธรรม สำหรับคู่สมรสเพศเดียวกัน
ความหมายของบุตรบุญธรรม

บุตรบุญธรรม คือ บุตรที่ขอมาเลี้ยงดูเสมือนเป็นบุตรของตน
กล่าวคือ ผู้ที่จะเป็นบุตรบุญธรรมจะต้องไม่ใช่สายเลือดที่แท้จริงของผู้ที่รับเลี้ยงนั้น และบุตรบุญธรรมจะเป็นบุตรบุญธรรมของผู้ใดต้องมีการจดทะเบียนตามกฎหมายเสียก่อน ไม่ใช่เพียงรับมาเลี้ยงดูเฉยๆ ซึ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1598/27 วางหลักไว้ว่า “การรับบุตรบุญธรรมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อได้จดทะเบียนตามกฎหมาย”
คุณสมบัติของผู้รับบุตรบุญธรรม
1.ผู้รับบุตรบุญธรรมต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และต้องมีอายุมากกว่าบุตรบุญธรรมของตนอย่างน้อย 15 ปี
อ้างอิงกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 1598/19 “บุคคลที่มีอายุไม่ต่ำกว่ายี่สิบห้าปีจะรับบุคคลอื่นเป็นบุตรบุญธรรมก็ได้ แต่ผู้นั้นต้องมีอายุแก่กว่าผู้ที่จะมาเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อยสิบห้าปี”
2.หากมีคู่สมรสอยู่ก่อน คู่สมรสต้องให้ความยินยอมในการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมนั้นด้วย
อ้างอิงกฎหมาย ป.พ.พ. มาตรา 1598/25 “ผู้จะรับบุตรบุญธรรมหรือผู้จะเป็นบุตรบุญธรรม ถ้ามีคู่สมรสอยู่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสก่อน”
อ้างอิงคำพิพากษาฎีกาที่เกี่ยวข้อง
ฎีกาที่ 2359/2521 ; ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1584 (แก้ไขใหม่ มาตรา 1598/25) ประกอบกับพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว พ.ศ.2478 มาตรา 22 บัญญัติแต่เพียงว่า การจดทะเบียนบุตรบุญธรรมต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสเท่านั้น ไม่ได้บังคับว่าจะต้องลงลายมือชื่อด้วยตนเอง ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานได้บันทึกไว้ว่า คู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรมได้มีหนังสือให้ความยินยอมถึงคณะกรมการอำเภอย่อมเป็นการเพียงพอแล้ว
สมรสเท่าเทียมกับการรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน

แต่เดิมทีในประเทศไทย หากบุคคลที่เป็นคู่รักร่วมเพศ (LGBTQ+) ประสงค์จะมีบุตรโดยการรับบุตรบุญธรรมก็สามารถจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมได้ แต่มีข้อจำกัดคือ บุตรบุญธรรมต้องอยู่ในความปกครองของบุคคลที่จดทะเบียนรับได้เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่เมื่อวันที่ 22 มกราคม พ.ศ.2568 ที่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาถึงการมี “พ.ร.บ.สมรสเท่าเทียมกัน” ซึ่ง พ.ร.บ.สมรสเท่าเท่าเทียมไม่เพียงเปิดโอกาสให้คู่รักร่วมเพศจดทะเบียนสมรสกันได้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงสิทธิในการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมร่วมกัน เพื่อให้บุตรบุญธรรมอยู่ในความปกครองของบุคคลทั้งสองอย่างเท่าเทียมกัน เหมือนจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมเรียบร้อยแล้ว คู่รักที่จดทะเบียนจึงมีสิทธิร่วมกันในการเป็นผู้ปกครองของบุตรบุญธรรม เท่าเทียมกับคู่รักต่างเพศทั่วไป โดยขั้นตอนในการรับบุตรบุญธรรมของคู่ LGBTQ+ มีขั้นตอนดังนี้
1.คู่รักต้องตกลงก่อนว่าจะรับบุตรบุญธรรมจากสถานที่ใดหรือใครก่อน จะขอรับจากพ่อแม่ของเด็กเองหรือจากสถานสงเคราะห์
2.ยื่นคำขอรับบุตรต่อศาลเยาวชนและครอบครัว
3.ศาลจะพิจารณาเองว่า คู่รักเหมาะสมและมีคุณสมบัติในการรัยบเลี้ยงเด็กหรือไม่ โดยพิจารณาจากความเอาใจใส่ ประสบการณ์เลี้ยงเด็ก ความมั่นคงทางการเงิน ที่อยู่อาศัย เป็นต้น
4.เมื่อศาลพิจารณาเห็นว่าคู่รักมีคุณสมบัติที่ถูกต้อง ก็จะอนุมัติเพื่อให้นำคำสั่งของศาลไปยื่นที่สำนักงานทะเบียนราษฎร์เพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลในทะเบียนราษฎร์ของเด็กต่อไป
บทความที่เกี่ยวข้อง
จดทะเบียนรับรองบุตรสำคัญยังไง จดแล้วใครได้ประโยชน์
การจัดการทรัพย์สินของบุตรผู้เยาว์ ทำอย่างไรให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ข้อควรพิจารณาก่อนการรับบุตรบุญธรรม
1.การจดทะเบียนรับเด็กคนไหนเป็นบุตรบุญธรรมต้องพิจารณาว่า ก่อนรับมาเลี้ยง เด็กอยู่ในความปกครอง หากเด็กอยู่ในความปกครองของพ่อแม่ที่แท้จริง ต้องขอความยินยอมจากพ่อแม่เด็กก่อน แต่ถ้าหากเด็กไม่มีพ่อแม่ เช่น มีญาติผู้ใหญ่หรือ เด็กที่มาจากสถานสงเคราะห์ ก็ต้องขอความยินยอมก่อนเสมอ
2.ต้องพิจารณาอายุของเด็กขณะที่ถูกรับมาเลี้ยงด้วย หากขณะนั้น เด็กอายุเกิน 15 ปีแล้วเด็กต้องให้ความยินยอมร่วมด้วยในการเป็นบุตรบุญธรรม
3.ต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1587 ได้แก่ เป็นบุคคลล้มละลาย , ไร้ความสามารถ/เสมือนไร้ความสามารถ , เคยมีคดีติดตัวมาก่อน เป็นต้น
ขั้นตอนการรับบุตรบุญธรรม
สถานที่ยื่นคำร้อง
ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม กรมกิจการเด็กและเยาวชน
สถานที่ติดต่อ
สำนักทะเบียนอำเภอ และ สำนักทะเบียนเขต
การจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม
เมื่อคณะกรรมการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมอนุมัติจดทะเบียนให้รับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม ผู้ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมต้องดำเนินการจดทะเบียนรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งคำอนุมัติดังกล่าว โดยควรจดทะเบียน ณ สำนักทะเบียนหรืออำเภอในท้องที่ที่ผู้ขอรับเด็กมีภูมิลำเนาอยู่
เอกสารสำหรับจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม

- บัตรประจำตัวประชาชน / ยืนยันตัวตนผ่านแอปพลิเคชัน ThaiD (กรณีผู้ยื่นคำร้องเป็นบุคคล ซึ่งไม่ต้องมีบัตรประจำตัวประชาชนตามกฎหมายหรือชาวต่างชาติ ให้เรียกตรวจบัตรประจำตัวอื่นที่ราชการออกให้ หนังสือเดินทาง หรือใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือเอกสารราชการอื่นที่สามารถใช้แสดงตัวบุคคลได้)
- หนังสือยินยอมของคู่สมรส และผู้เยาว์ที่อายุเกิน 15 ปี (กรณีไม่มาให้ความยินยอมต่อหน้าเจ้าหน้าที่ได้)
- กรณีบุตรบุญธรรมเป็นผู้เยาว์ต้องได้รับหนังสืออนุมัติจาก กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) โดยหนังสือมีอายุ 6 เดือน
- พยาน 2 คน โดยพยานทั้ง 2 คนต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 1670 ได้แก่ (ต้องเป็นบุคคลบรรลุนิติภาวะ ไม่เป็นบุคคลวิกลจริตหรือบุคคลซึ่งศาลสั่งให้เป็นผู้เสมือนไร้ความสามารถ ไม่เป็นบุคคลที่หูหนวก เป็นใบ้ หรือจักษุบอดทั้ง 2 ข้าง)
- กรณีเป็นเอกสารต่างประเทศต้องแปลเป็นภาษาไทยเสียก่อน และได้รับอนุมัติจากนิติกรณ์เอกสาร ตามขั้นตอนของกรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศกำหนด
การรับบุตรบุญธรรมออนไลน์
หากผู้ยื่นคำขอมีชื่อในทะเบียนบ้านอยู่ในกรุงเทพมหานคร ก็สามารถยื่นออนไลน์ขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม (e-form) ได้ โดยเอกสารหลักฐานที่ต้องใช้ในการยื่นคำขอเบื้องต้นสามารถดาวน์โหลดได้ที่ https://thaiadoption.dcy.go.th/public/index.do
ค่าใช้จ่ายในการรับบุตรบุญธรรม
- ในประเทศไทย การขอรับบุตรบุญธรรมจะไม่มีค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม คงมีเพียงค่าคัดสำเนาเอกสาร ฉบับละ 10 บาท
- ค่าเอกสารในการยื่นคำร้องขอจากหน่วยงานต่างๆ และ ค่าจัดส่งเอกสารทางไปรษณีย์
หากประสงค์ขอรับบุตรบุญธรรมที่อยู่ในต่างประเทศ
จะมีค่าทำเอกสารต่างๆ เช่น พาสปอร์ต , วีซ่า รวมทั้งตั๋วเครื่องบินในการเดินทางไป-กลับ
การรับบุตรบุญธรรมในกรณีพิเศษ

การรับหลานเป็นบุตรบุญธรรม
สามารถทำได้โดย ต้องยื่นคำขอและผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมก่อนจดทะเบียน หากเป็นการรับหลานในสายเลือดโดยตรง เช่น ปู่ย่าตายายรับหลาน จะไม่ต้องทดลองเลี้ยงดู หากได้รับการอนุมัติ ในทางกฎหมายบุตรบุญธรรมจะมีสถานะเช่นเดียวกับบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม
การรับลูกติดภรรยาเป็นบุตรบุญธรรม
มีขั้นตอนดำเนินการดังนี้
1.เตรียมเอกสาร รวบรวมเอกสารสำคัญของผู้ขอรับ (สามี) และภรรยา รวมถึงบุตร เช่นบัตรประจำตัวประชาชน , ทะเบียนบ้าน , ทะเบียนสมรส , สูติบัตรบุตร และใบรับรองแพทย์
2.ยื่นคำขอ ยื่นคำขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม พร้อมเอกสารทั้งหมดที่สำนักงานเขตหรือ ที่ว่าการอำเภอที่ผู้ขอรับบุตรบุญธรรมมีภูมิลำเนาอยู่
3.การพิจารณา - เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบเอกสารและคุณสมบัติของผู้ขอรับบุตรบุญธรรม - จะมีการทดลองเลี้ยงดูเป็นระยะเวลา 6 เดือนโดยผู้ขอรับบุตรบุญธรรมจะต้องส่งรายงานผลการทดลองเลี้ยงดูให้กรมกิจการเด็กและเยาวชนเป็นระยะๆ
4.การอนุมัติและจดทะเบียน - หากการทดลองเลี้ยงดูเป็นที่เรียบร้อย คณะกรรมการจะอนุมัติให้รับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมได้ - นำเอกสารการอนุมัติไปจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมที่สำนักงานเขตหรือที่ว่าการอำเภอเพื่อให้มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
บุตรบุญธรรม ลูกบุญธรรม มีสิทธิอะไรบ้าง?
เมื่อ “จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม” แล้ว เด็กมีฐานะเช่นเดียวกับ “บุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย” ของผู้รับบุตรบุญธรรม และ “บิดามารดาโดยกำเนิดสิ้นอำนาจปกครอง” ย่อมได้รับการอุปการะเลี้ยงดู รวมถึงให้ใช้นามสกุลด้วย แต่เด็ก “ไม่สูญสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวเดิม” (เช่น สิทธิรับมรดก/หน้าที่เลี้ยงดู) ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1598/28 และพ่อแม่ที่แท้จริงจะหมดสิทธิในการปกครองดูแล แต่บุตรบุญธรรมยังมีสิทธิในการไปมาหาสู่กับพ่อแม่ที่แท้จริงของตนได้
เมื่อเป็นบุตรบุญธรรมแล้ว ก็จะได้รับสิทธิ หน้าที่ในการให้ค่าอุปการะ เลี้ยงดู ให้ใช้นามสกุลเสมือนว่าเป็นบุตรจริงๆของผู้รับเลี้ยง และบุตรบุญธรรมยังมีสิทธิได้รับมรดกของผู้รับเลี้ยงถ้าผู้รับเลี้ยงได้เสียชีวิตลง
ในด้านมรดก
บุตรบุญธรรมจะมีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมแล้ว หากพ่อแม่ที่แท้จริงของตนตาย บุตรบุญธรรมก็มีสิทธิรับมรดกของพ่อแม่ที่แท้จริงด้วย ในทางกลับกัน หากบุตรบุญธรรมตายขณะที่ยังอยู่ในความปกครองดูแลของผู้รับบุตรบุญธรรม พ่อแม่ที่แท้จริงก็ไม่มีสิทธิรับมรดกของบุตรบุญธรรมเช่นกัน เพราะการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม นอกจากทำให้พ่อแม่แท้จริงหมดสิทธิปกครองแล้วยังไม่ถือว่าเป็นทายาทโดยธรรมตาม มาตรา 1629(2) ของบุตรบุญธรรมอีกต่อไป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง
ฎีกาที่ 349/2540
การจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมทำให้บิดามารดาโดยกำเนิดหมดอำนาจปกครอง และอำนาจปกครองของบิดามารดาโดยกำเนิดจะกลับคืนมาก็ต่อเมื่อมีการเลิกรับบุตรบุญธรรมอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น - เมื่อผู้รับบุตรบุญธรรมถึงแก่ความตายแล้ว ทรัพย์มรดกย่อมตกทอดแก่บุตรบุญธรรม บุตรบุญธรรมจึงมีสิทธิรับมรดกของผู้รับบุตรบุญธรรมเสมือนว่าตนเป็นทายาทโดยธรรมประเภทผู้สืบสันดานตาม ป.พ.พ.มาตรา 1627 ประกอบมาตรา 1629(1) - ฎีกาที่ 319/2529 โจทก์เป็นบุตรบุญธรรมเป็นทายาทโดยธรรมลำดับ 1 น้องสาวเจ้ามรดกเป็นทายาทโดยธรรมลำดับ 3 จำเลยเป็นบุตรน้องสาวเจ้ามรดก โจทก์จึงร้องขอให้ถอดถอนจำเลยจากเป็นผู้จัดการมรดกโดยตั้งโจทก์แทนได้ ในทางกลับกัน หากบุตรบุญธรรมตายก่อน ผู้รับบุตรบุญธรรมก็จะไม่มีสิทธิรับมรดกใดๆของบุตรบุญธรรมของตนเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1598/29 “การรับบุตรบุญธรรมไม่ก่อให้เกิดสิทธิรับมรดกของบุตรบุญธรรมในฐานะทายาทโดยธรรมเพราะเหตุการณ์รับบุตรบุญธรรมนั้น”
ฎีกาที่ 4851/2538
การที่เจ้ามรดกเพียงแต่ทำหนังสือมีข้อความแสดงความจำนงและยินยอมรับผู้ร้องเป็นบุตรบุญธรรมโดยไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย ผู้ร้องจึงมิใช่บุตรบุญธรรมของเจ้ามรดกและไม่เป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินของเจ้ามรดก จึงไม่อาจตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของเจ้ามรดกได้
ฎีกาที่ 591/2563
ศาลวินิจฉัยว่า แม้จะได้รับคำสั่งศาลให้อนุญาตให้จดทะเบียนรับบุตรบุญธรรมได้ แต่ถ้ายังไม่ได้จดทะเบียนให้สมบูรณ์ตามกฎหมายแล้ว ถือว่าการรับบุตรบุญธรรมยังไม่สมบูรณ์และไม่มีผลทางกฎหมาย
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับเรื่องการรับบุตรบุญธรรมหลังสมรสเท่าเทียม

1.คู่สมรสเพศเดียวกัน “รับบุตรบุญธรรมร่วมกัน” ได้ไหม?
ได้ หลังกฎหมายสมรสเท่าเทียมมีผล 22 ม.ค. 2568 สิทธิของ “คู่สมรส” ถูกปรับให้เป็นกลางทางเพศ ทำให้กฎเรื่องการรับบุตรบุญธรรมที่อาศัยความยินยอมของ “คู่สมรส” ใช้ได้กับทุกคู่สมรสเหมือนกันทั้งหมด
2.รับ “ลูกติดของคู่สมรส” เป็นบุตรบุญธรรมได้ไหม?
ได้ ข้อยกเว้นระบุชัดว่า เด็กที่เป็นบุตรบุญธรรมของคนหนึ่ง จะเป็นบุตรบุญธรรมของ “คู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม” ได้อีกพร้อมกัน (step-parent adoption).
3.คุณสมบัติด้านอายุของผู้รับบุตรบุญธรรมคืออะไร?
ต้องอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และ “แก่กว่าเด็กอย่างน้อย 15 ปี”
4.ต้องมีใครให้ “ความยินยอม” บ้าง?
กรณีเด็กยังเป็นผู้เยาว์ ต้องมีความยินยอมจากบิดามารดา/ผู้ปกครอง, เด็กอายุ 15 ปีขึ้นไปต้องยินยอมด้วยตนเอง และถ้าผู้รับ/ผู้จะเป็นบุตรบุญธรรมมี “คู่สมรส” ต้องมีหนังสือยินยอมจากคู่สมรสก่อน
5.ยื่นที่ไหน และทำ “ออนไลน์” ได้หรือไม่?
ยื่นงานทะเบียนที่สำนักทะเบียนอำเภอ/เขต หลังผ่านอนุมัติจาก พม. สำหรับ “ยื่นคำขอเบื้องต้น” มี e-form ของกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ใช้ได้เฉพาะผู้มีชื่อในทะเบียนบ้านกรุงเทพฯ)
6.ใช้เวลาประมาณเท่าไร?
กรอบเวลาทางการของ พม.: ตรวจคุณสมบัติราว 60 วัน, ขั้นตอนอนุมัติทดลองเลี้ยงดูราว 30 วัน; เมื่อเอกสารพร้อม จดทะเบียนที่สำนักทะเบียนใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง (ขึ้นกับความครบถ้วนเอกสาร)
7.ค่าใช้จ่ายเท่าไร และเอกสารหลัก ๆ คืออะไร?
จดทะเบียน “ไม่เสียค่าธรรมเนียม”; ค่าคัดสำเนาเอกสารฉบับละ 10 บาท เอกสารสำคัญ เช่น บัตรประชาชน/ThaID, หนังสือยินยอมของคู่สมรสและเด็กอายุ 15+, หนังสืออนุมัติ พม. (อายุ 6 เดือน), พยาน 2 คน ฯลฯ
ปรึกษาทนายตัวจริง
สอบถามได้ทุกเรื่องราวทางกฎหมาย
"โดนโกง โดนประจาน" ปรึกษาได้ในคลิกเดียว
สมัครเป็นทนายออนไลน์
แพล็ทฟอร์มรวบรวม
งานกฎหมายจากทั่วประเทศ








